NocNoc เปิดเทรนด์แต่งบ้าน 2025 ‘เอิร์ธโทน-มินิมอล-เพอร์ซันนอล- เทคออฟโฮม’ มาแรง ขานรับ “Easy e-Receipt 2.0” กระตุ้นค้าปลีกคึกคัก

นายอนุพงศ์ ทะสดวก รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบ็ตเตอร์บี มาร์เก็ตเพลส จำกัด หรือ NocNoc ศูนย์รวมสินค้าและบริการเรื่องบ้านออนไลน์ เปิดเผยว่าในปี 2568 แนวโน้มการเติบโตของตลาดตกแต่งบ้านในประเทศไทยมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้น อาจแตะที่มูลค่ากว่า 10,300 ล้านบาท จากตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าคนไทยยังคงสนใจ และชื่นชอบการตกแต่งบ้าน เพื่อปรับพื้นที่ให้เหมาะกับความต้องการการใช้งาน และสร้างบรรยากาศใหม่ให้บ้าน โดยเฉพาะในช่วงต้นปีที่มักจะมีเทรนด์การแต่งบ้านใหม่ๆที่น่าสนใจ และอาจสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้บริโภคได้ลองนำเทรนด์การตกแต่งที่อยู่อาศัยมาปรับเข้ากับสไตล์ของตนเองด้

NocNoc ยังได้ทำการศึกษาแนวโน้มความต้องการสินค้า และเทรนด์การตกแต่งบ้าน ซึ่งสำหรับปี 2025 เทรนด์การตกแต่งบ้านที่คาดว่าน่าจะได้รับความนิยมคือ การตกแต่งโดยอิงกับสีประจำปี โดยปีนี้ pantone คือ Mocha Mousse หรือสีโทนน้ำตาลอมชมพู ทำให้การตกแต่งโดยใช้สีสันในโทนสีน้ำตาล รวมไปถึงสีเอิร์ธโทน มีแนวโน้มที่จะได้รับความนิยมมากขึ้นเพราะสามารถนำไปแมทช์เข้าได้กับสไตล์แต่งบ้านอย่าง Scandinavian , Japandi และ Minimalซึ่งเป็นสไตล์การแต่งบ้านที่คาดว่าจะได้รับความนิยมมากในปี 2025 เช่นเดียวกัน รวมถึงการตกแต่งที่อยู่อาศัยในสไตล์มินิมอล ที่เน้นการออกแบบพื้นที่ให้โปร่ง โล่ง สร้างความรู้สึกสบายตา เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีฟังก์ชันที่หลากหลายในชิ้นเดียวเพื่อลดทอนการตกแต่งที่ไม่จำเป็น การตกแต่งในสไตล์นี้จะช่วยสร้างพื้นที่พักผ่อนที่มีเหมาะสม ตอบโจทย์คนทำงานที่ต้องการหลีกหนีความเครียดจากการทำงาน หรือความวุ่นวายรอบข้าง

การตกแต่งที่มีความเฉพาะบุคคล หรือ Personalized เป็นอีกเทรนด์ที่น่าจะมาแรงในปี 2025 เนื่องจากผู้บริโภคให้ความสำคัญกับพื้นที่อยู่อาศัยที่สามารถสะท้อนตัวตน รสนิยม ไลฟ์สไตล์ และตอบโจทย์ฟังก์ชันการใช้งานที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตได้มากขึ้น อย่างเช่นผู้ที่ทำงานแบบ work from home เป็นหลักก็อาจจะปรับพื้นที่ในโซนทำงานให้เป็นโฮมออฟฟิศ เน้นพื้นที่เพื่อการทำงาน เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ ที่เอื้อต่อการจัดเก็บเอกสาร หรืออุปกรณ์การทำงานอย่างเป็นสัดส่วน รวมไปถึงการเลือกใช้สี โทนสบายตา อย่างเช่นสีขาว น้ำตาล หรือสีเขียว หรือสีที่มีผลต่อช่วยสร้างโฟกัสในการทำงานอย่างเช่น สีเทา หรือสีน้ำเงิน

นอกจากนี้เทรนด์การใช้เทคโนโลยีสำหรับที่อยู่อาศัย หรือ Smart Home Technology ก็ยังมาแรงในปีนี้เช่นเดียวกัน ซึ่งเทคออฟโฮมเหล่านี้จะมีส่วนเข้ามาประกอบเสริมฟังก์ชันต่างๆ สำหรับพื้นที่อยู่อาศัย ที่ช่วยตอบโจทย์เรื่องการอำนวยความสะดวก เช่น ระบบสวิตช์ไฟอัตโนมัติ หรือระบบการสั่งการเครื่องใช้ไฟฟ้าผ่านแอปพลิเคชัน ระบบ smart lock ระบบกล้องวงจรปิดที่สามารถเช็คความปลอดภัยได้ผ่านสมาร์ทโฟน และสามารถแจ้งเตือนภัยได้ ไปจนถึงระบบผู้ช่วยส่วนตัวในรูปแบบ AI ที่ผู้ใช้งานสามารถสั่งงานผ่านเสียงเพื่อให้จัดการสิ่งต่างภายในบ้าน เป็นต้น เทคโนโลยีเหล่านี้ก็จะเข้ามาเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้พื้นที่อยู่อาศัยน่าอยู่ และเป็นพื้นที่สำหรับ การพักผ่อนอย่างแท้จริง

นายอนุพงศ์ กล่าวเสริมว่า NocNoc เป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอีมาร์เก็ตเพลสเรื่องบ้านสัญชาติไทยชั้นนำ ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างแรงบันดาลใจให้กับลูกค้า ที่ต้องการจะปรับปรุงพื้นที่อยู่อาศัย ตามเทรนด์การตกแต่งที่เปลี่ยนไป เราจึงพัฒนาระบบ AI เพื่อให้ลูกค้าค้นหาสไตล์ที่ใช่แบบ Personalized ตั้งแต่เริ่มต้นใช้แอปพลิเคชั่น เพื่อค้นหาแรงบันดาลใจเรื่องบ้านให้เข้ากับสไตล์ความชอบของตนเอง แล้วนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับสไตล์ และความต้องการของลูกค้ามากที่สุด โดยจากการเก็บข้อมูลของเราพบว่า สไตล์ที่ใช่สำหรับคนไทยได้แก่ การแต่งบ้านสไตล์ Japandi คิดเป็น 25% ตามมา ด้วยสไตล์ Scandinavian 23% และสไตล์ Industrial 20% ซึ่งสะท้อน ให้เห็นว่ารสนิยมการแต่งบ้าน ของคนไทยเปลี่ยนแปลงรับไปกับเทรนด์ ซึ่ง NocNoc ก็มีสินค้าที่พร้อมรับกับทุกสไตล์ทุกเทรนด์การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เพื่อคนรักบ้านทุกคนอย่างแน่นอน”

นอกจากนี้ เพื่อตอบรับดีมานด์การเลือกสรรสินค้าเพื่อปรับเปลี่ยน ต่อเติม ตกแต่งที่อยู่อาศัยในช่วงต้นปี และขานรับนโยบาย ‘Easy e-Receipt 2.0’ NocNoc ยังได้เข้าร่วมโครงการ ‘Easy e- Receipt 2.0’ เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถนำยอดการซื้อสินค้า หรือบริการไปลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนจริงที่จ่ายสูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท พร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับส่วนลดลดสูงสุด 70% รับคูปองส่วนลดเพิ่มสูงสุด 2,000 บาท พร้อมผ่อน 0% นานสูงสุด 6 เดือน (ตามเงื่อนไขที่บริษัทกำหนด) ได้ทั้งช่องทางการซื้อบนเว็บไซต์ และบนแอปพลิเคชั่นของ NocNoc ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคมถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568 โดยสินค้าที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าว หากลูกค้าต้องการขอ e-Reciept จากร้านค้าสามารถทักแชทสอบถามจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการได้ทันที โดยเตรียมข้อมูลทั้งชื่อ และนามสกุลตามบัตรประชาชน ที่อยู่สำหรับออกใบกำกับภาษี หมายเลขโทรศัพท์ และหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี (หมายเลขบัตรประชาชน) ให้แก่ร้านค้าเพื่อการจัดทำเอกสารที่รวดเร็วมากขึ้น โดยจากการคาดการของกรมสรรพากรคาดว่าโครงการนี้จะทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นกว่า 70,000 ล้านบาท

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles