SCB CIO มองลงทุนครึ่งหลังปี 68 ยังไม่แน่นอน ผันผวน แนะให้น้ำหนักการลงทุนบนพันธบัตรสหรัฐฯ กระจายการลงทุนบนทองคำ

SCB CIO แลกเปลี่ยนมุมมองการลงทุนกับ BlackRock มองครึ่งหลังของปี 2568 ตลาดการเงินโลกยังเผชิญกับความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายของสหรัฐฯ และทางภูมิรัฐศาสตร์ เข้ามาเปลี่ยนภาพการลงทุนแบบดั้งเดิม BlackRock สรุป 3 แนวทางการลงทุน ได้แก่ 1) การลงทุนที่ตอบสนองสถานการณ์ปัจจุบัน เน้นลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากผลกำไรที่ยังแข็งแกร่ง โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีที่ได้รับแรงหนุนจาก AI 2) การลงทุนท่ามกลางภาวะเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาคที่ลดลง เน้นการบริหารแบบ Active เลือกหุ้นรายตัว และ 3) การลงทุนที่เน้นแรงขับเคลื่อนในโครงสร้างระยะยาว เน้นการเติบโตของ AI การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และ Private capital ด้าน SCB CIO มีมุมมองที่สอดคล้องกับ BlackRock ในส่วนของการให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่เน้นธีม AI เป็นหลัก รวมทั้ง ตลาดหุ้นญี่ปุ่น สำหรับตราสารหนี้ BlackRock และ SCB CIO ให้น้ำหนักการลงทุนบนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่มีอายุเฉลี่ยระยะสั้นถึงกลาง รวมทั้ง เน้นกระจายการลงทุนบนทองคำ ด้านการจัดพอร์ตลงทุน SCB CIO แนะนำลงทุนบนพอร์ตหลัก ระยะยาว เช่น พันธบัตรและหุ้นกู้ IG ของสหรัฐฯ ที่มีอายุเฉลี่ยระยะสั้นถึงกลาง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น จีน H-Shares และอินเดีย รวมทั้ง ทองคำ ส่วนพอร์ตเสริมระยะสั้น แนะลงทุนดัชนี Nasdaq 100 หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทั่วโลก ที่เน้นธีม AI ตลาดหุ้นจีน H-Share และตลาดหุ้นเกาหลีใต้

นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า จากมุมมองการลงทุนที่ SCB CIO ได้แลกเปลี่ยนกับ BlackRock ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนระดับโลก พบว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ตลาดการเงินโลกต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งเข้ามาเปลี่ยนภาพการลงทุนแบบดั้งเดิม ที่พึ่งพาปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจมหภาค อย่างไรก็ตาม แม้เสถียรภาพเชิงมหภาคในระยะยาวลดลง (losing long-term macro anchors) แต่กฎพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงจำกัดผลกระทบจากนโยบายที่เกิดขึ้นในระยะสั้นอย่างมีนัยสำคัญ โดย BlackRock Investment Institute ได้สรุปแนวทางการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 ที่สำคัญ 3 ประการ ได้แก่

แนวทางแรก คือ การลงทุนที่ตอบสนองสถานการณ์ปัจจุบัน (investing in the here and now) แม้ว่าจะมีความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจและนโยบายมหภาค แต่กฎพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เช่น ความจำเป็นของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการออกพันธบัตรเพื่อระดมทุนจากนักลงทุนต่างชาติ หรือข้อจำกัดเชิงกายภาพในการปรับห่วงโซ่อุปทานโลกอย่างฉับพลัน ทำให้การเปลี่ยนแปลงของการค้าโลกและตลาดทุนเป็นไปอย่างจำกัด แนวโน้มเศรษฐกิจระยะสั้นจึงมีความแน่นอนมากกว่าระยะยาว ดังนั้น จึงให้ความสำคัญกับการจัดสรรสินทรัพย์แบบ Tactical (ภายใน 6–12 เดือน) มากขึ้น และยังคงให้น้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง โดยเน้นตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากผลกำไรที่ยังแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยี ที่ได้รับแรงหนุนจาก AI

แนวทางที่สอง คือ การลงทุนท่ามกลางภาวะเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาคที่ลดลง (Taking risk with no macro anchor) เช่น อัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต เปิดโอกาสในการสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (alpha) ได้มากกว่าช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยจำเป็นต้องบริหารพอร์ตเชิงรุกมากขึ้น ทั้งนี้ กรอบการลงทุนแบบเก่า ที่เน้นบริหารแบบ passive หรือ พึ่งพาปัจจัยมหภาคอาจไม่เพียงพอ ขณะที่ ความสำเร็จในการสร้าง alpha ในยุคนี้ขึ้นอยู่กับการบริหารแบบ active ทักษะการเลือกหุ้นรายตัว และความสามารถในการปรับตัว

แนวทางสุดท้าย คือ การลงทุนที่เน้นแรงขับเคลื่อนในโครงสร้างระยะยาว (Finding anchors in mega forces) แม้แนวโน้มเศรษฐกิจในระยะยาวยังมีความไม่แน่นอนสูง แต่ Mega forces ยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้ในระยะยาว เช่น การเติบโตของ AI การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และบทบาทที่เพิ่มขึ้นของ Private capital ดังนั้น ควรเลือกลงทุนในสินทรัพย์หรืออุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์โดยตรง ซึ่งต้องติดตามพัฒนาการของ Mega Trend เหล่านี้ ต่อแต่ละกลุ่มสินทรัพย์อย่างใกล้ชิด เพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดรับกับภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

หากพิจารณาทั้ง 3 แนวทางร่วมกัน จะพบว่ากรอบแนวคิดของ BlackRock มุ่งเน้นให้นักลงทุนยังคง Stay Invested แทนที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงหรือรอให้ความแน่นอนกลับคืนมา โดยนักลงทุนต้องเปลี่ยนจากการพึ่งพาทิศทางเศรษฐกิจระยะยาวที่มีเสถียรภาพลดลง ไปสู่การคัดเลือกหลักทรัพย์ที่มีคุณภาพ ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด (granular) และเจาะลึกในธีมที่มีโอกาสเติบโตเชิงโครงสร้าง

ทั้งนี้ SCB CIO มีมุมมองที่สอดคล้องกับ BlackRock โดยให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ บนพอร์ตหลัก ระยะยาว และแนะนำลงทุนดัชนี Nasdaq 100 และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทั่วโลก ที่เน้นธีม AI ในพอร์ตเสริม ระยะสั้น จากกระแส AI ที่จะช่วยหนุนศักยภาพการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน และแนะนำลงทุนตลาดหุ้นจีน H-Share ทั้งพอร์ตหลัก และพอร์ตเสริม จากกำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาดหุ้นจีนที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง รับแรงหนุนมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม และความคืบหน้าของกระแส AI ในจีน

ส่วนตลาดหุ้นอื่นๆ ที่ SCB CIO แนะนำลงทุนระยะยาว ได้แก่ ตลาดหุ้นยุโรป ตามแรงหนุนบนนโยบายการคลัง จากการเร่งเพิ่มรายจ่ายภาครัฐบนโครงสร้างพื้นฐาน และด้านกลาโหม ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ตามการปฏิรูปธรรมาภิบาลที่ยังมีความคืบหน้า และตลาดหุ้นอินเดีย ที่ได้แรงหนุนจาก EPS ที่มีแนวโน้มเติบโตดี ตามอุปสงค์ในประเทศที่ฟื้นตัว ผลดีจากการลดภาษีเงินได้ และนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย นอกจากนี้ ยังแนะนำลงทุน ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ บนพอร์ตเสริม จาก Valuation ยังถูกเมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหุ้นเกิดใหม่ ขณะที่ EPS ปีนี้ มีแนวโน้มขยายตัวได้ดี

สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ BlackRock ให้น้ำหนักการลงทุนแบบ Overweight บนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่มีอายุเฉลี่ย (duration) ระยะสั้นถึงกลาง เนื่องจากให้อัตราผลตอบแทน (yield) สูง และได้รับผลกระทบจำกัด หาก yield เพิ่มขึ้น ขณะที่ Underweight ตราสารหนี้ที่มี duration ยาว จากการที่นักลงทุนต้องการส่วนต่างเพื่อชดเชยความเสี่ยงจากการลงทุนตราสารหนี้ระยะยาว (term premium) ที่สูงขึ้น ท่ามกลางระดับหนี้ของรัฐบาลทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของ SCB CIO ที่แนะนำลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชนคุณภาพดีของสหรัฐฯ โดยเน้น duration สั้นถึงกลาง เพื่อช่วยลดความเสี่ยงพอร์ต

ในส่วนของทองคำ BlackRock มองว่า ทองคำสามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความผันผวนในตลาด โดยในช่วงที่เกิดสถานการณ์ที่ทำให้นักลงทุนกลัวความเสี่ยง (risk-off) และผันผวนสูง ทั้งหุ้นและพันธบัตร ปรับลดลงพร้อมกัน แต่ทองคำยังสามารถปรับเพิ่มขึ้นได้ จึงควรมีสัดส่วนลงทุนในพอร์ตเพื่อป้องกันความเสี่ยง ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของ SCB CIO ที่ยังแนะนำลงทุนทองค้าในพอร์ตหลัก เพื่อช่วยป้องกันความเสี่ยงจากประเด็นเงินเฟ้อที่สูง สงครามการค้า และความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles