นายปุณยวัจน์ ศรีสิงห์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) กล่าวในงานสัมมนา “ข้อมูลเครดิต พลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย 2 ทศวรรษ” ในหัวข้อ “เข้าใจหนี้ครัวเรือนไทย ผ่านมุมมองเครดิตบูโร” ว่า สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยล่าสุด ในช่วงไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 86.8% ของ GDP ลดลง 0.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยประเภทของหนี้ที่ยังมีการขยายตัว ได้แก่ สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อบัตรเครดิต ในขณะที่รายได้ครัวเรือน ช่วงครึ่งปีแรก (H1/68) มีความเปราะบางมากขึ้น เพราะยังมีความเสี่ยงในเรื่อง income shock จากปัจจัยทั้งภายในและต่างประเทศ
ขณะที่ข้อมูลเครดิตบูโรที่สะท้อนว่าปัญหาหนี้ครัวเรือนรุนแรงขึ้น จากลูกหนี้ NPL กลุ่มใหญ่ยังขาดโอกาสในการเข้าถึงมาตรการช่วยแก้หนี้ ซึ่งทำให้หนี้ด้อยคุณภาพเร่งตัวเร็ว เพราะมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ไม่สามารถช่วยได้ทันต่อความรุนแรงของปัญหา ส่วน NPL ลูกหนี้รายย่อยมีการกระจุกตัว โดยส่วนใหญ่เป็นมูลหนี้ที่ไม่สูง ไม่มีมีหลักประกัน และขาดโอกาสในการปรับโครงสร้างหนี้
ทั้งนี้ SCB EIC ได้ศึกษาจากฐานข้อมูลของเครดิตบูโร พบว่าความช่วยเหลือในการปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้บุคคลที่เป็น NPL ยังไม่ทั่วถึง เพราะมีเพียง 1 ใน 4 ของลูกหนี้ NPL เท่านั้นที่ได้รับการปรับโครงสร้างหนี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ,ปัญหาหนี้ครัวเรือนมีแนวโน้มที่จะคลี่คลายได้ช้า สะท้อนจากลูกหนี้บุคคลที่เป็น NPL ไม่สามารถชำระหนี้ได้สม่ำเสมอในช่วง H1/2568 ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 72% โดยส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 25-44 ปี ในขณะที่ลูกหนี้ NPL ที่สามารถปิดบัญชีได้แล้วมีสัดส่วนเพียง 1% เท่านั้น ส่วนการปรับโครงสร้างหนี้ แม้จะช่วยให้ NPL กลับมาชำระหนี้ได้สม่ำเสมอขึ้นในช่วง H1/2568 แต่มีสัดส่วนเพียง 14% เท่านั้น โดยลูกหนี้ที่ปรับโครงสร้างหนี้แล้วมีประสิทธิภาพมากสุด คือ กลุ่มลูกหนี้ที่ได้เข้าโครงการปรับโครงสร้างหนี้ในปี 2568 ส่วน NPL ที่เคยปรับโครงสร้างหนี้มาก่อนปี 2568 แต่ไม่สำเร็จ และได้โอกาสอีกครั้งในปี 2568 พบว่าสามารถกลับมาชำระหนี้ได้สม่ำเสมอ โดยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
หากมองในมิติประเภทสินเชื่อ จะพบว่าการปรับโครงสร้างหนี้ของธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFI) สามารถช่วยลูกหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อการค้า ให้กลับมาจ่ายปกติได้มากที่สุด แต่พบว่ามีประสิทธิผลน้อยในสินเชื่อเช่าซื้อ ส่วนหนึ่งตามเกณฑ์ “คุณสู้ เราช่วย” ปีนี้ นอกจากนี้ ลูกหนี้บุคคล NPL ที่มีหนี้หลายประเภท มีแนวโน้มได้รับการช่วยเหลือผ่านการปรับโครงสร้างหนี้มากกว่าลูกหนี้ที่มีหนี้ประเภทเดียว ซึ่งกลุ่มนี้ เมื่อได้โอกาสแก้หนี้หลายประเภท จะสามารถกลับมาชำระหนี้ปกติได้สม่ำเสมอมากกว่า
ทั้งนี้ จาก SCB EIC Consumer Survey สะท้อนสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันว่าปัญหารายได้โตไม่ทันรายจ่ายกว่าครึ่งของกลุ่มตัวอย่าง โดยเฉพาะกลุ่มรายได้ต่ำ กลุ่มรายได้ปานกลาง-สูง เริ่มมีปัญหานี้มากขึ้น สะท้อนความเสี่ยงสภาพคล่อง และอาจก่อหนี้เพิ่ม และกลุ่มรายได้ปานหลาง-สูง เริ่มกังวลปัญหาภาระหนี้หนัก สอดคล้องกับข้อมูลรายได้ครัวเรือนไทย ที่หดตัวครั้งแรกในช่วง H1/2568 ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ และอาจส่งกดดันการบริโภคในระยะข้างหน้า รวมทั้ง ผู้บริโภคที่มีรายได้น้อย มีปัญหาเข้าถึงสินเชื่อมากกว่ากลุ่มอื่น และส่วนใหญ่ยังเข้าไม่ถึงความช่วยเหลือแก้หนี้จากมาตรการภาครัฐ, สถาบันการเงิน สาเหตุสำคัญพราะไม่เข้าเงื่อนไข
SCB EIC ประเมินว่า 1 ใน 3 ของครัวเรือนไทยที่มีหนี้ จะยังไม่สามารถหลุดพ้นจากปัญหารายได้ไม่พอรายจ่าย ซึ่งได้มีการประเมินระยะเวลาฟื้นตัวของครัวเรือนไทยที่มีหนี้ ภายใน 5 ปีนี้ พบว่า ส่วนใหญ่ 32% คาดว่าจะยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ภายใน 5 ปี รองลงมา 27% คาดว่าจะฟื้นตัวได้ใน 1-3 ปี ส่วนอีก 20% คาดว่าจะฟื้นตัวได้ใน 1 ปี อีก 17% คาดว่าจะฟื้นตัวได้ใน 3-5 ปี และอีก 14% ที่บอกว่าฟื้นตัวได้แล้ว
ส่วนการออกแบบนโยบายแก้หนี้ในปัจจุบันนั้น มองว่า ความช่วยเหลือปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้บุคคลที่เป็น NPL ยังไม่ทั่วถึง, NPL ที่ปรับโครงสร้างหนี้และสามารถกลับมาชำระหนี้ได้ปกติอย่างสม่ำเสมอ มีเพียง 15% ของ Total NPL ที่ได้ปรับโครงสร้างหนี้ และการช่วยเหลือส่วนใหญ่จะลงไปที่กลุ่มลูกหนี้เกษตรกร แต่กลุ่มอื่นลูกหนี้ non-bank ยังน้อย และผลสำเร็จต่ำ โดยยังมีลูกหนี้ Potential ที่จะกลับมาคืนหนี้ได้ปกติ หากได้รับความช่วยเหลือทางการเงินเพิ่มเติม
ดังนั้น แนวทางช่วยเหลือลูกหนี้ทุกกลุ่มแบบครบวงจร จึงควรปรับให้เหมาะกับแต่ละกลุ่ม และสร้างแรงจูงใจให้มีการปรับพฤติกรรม ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่ทุกภาคส่วนจะร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพื่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนให้สำเร็จอย่างยั่งยืน