ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) เปิดเผยบทวิเคราะห์ เรื่อง Sustainable eating … ได้เวลาเปลี่ยนมื้อนี้ ให้อิ่มท้องและอิ่มใจ โดยระบุว่า อุตสาหกรรมอาหาร มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) มากถึงราว 1 ใน 4 ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดทั่วโลก โดยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ของอุตสาหกรรมอาหารส่วนใหญ่เกิดจากกิจกรรมในระดับต้นน้ำ (Upstream level) ของห่วงโซ่การผลิต เช่น ก๊าซมีเทน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ ที่เกิดจากอุตสาหกรรมปศุสัตว์ ก๊าซมีเทนที่เกิดจากภาคเกษตรกรรมโดยเฉพาะการทำนาข้าว รวมไปถึงก๊าซเรือนกระจกจากการใช้เครื่องจักรกลต่าง ๆ ในฟาร์มเลี้ยงสัตว์และไร่นาอีกด้วย ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวมีส่วนซ้ำเติมให้ภาวะโลกร้อนและปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเลวร้ายลงไปอีก
โดยปัจจุบัน ผู้บริโภคชาวไทยมีความตระหนักรู้เรื่องเทรนด์ ESG รวมทั้งการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มอย่างยั่งยืนมากขึ้น โดยพบว่าประเด็นด้าน “สิ่งแวดล้อม” เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญมากที่สุด จากผลสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคของ SCB EIC พบว่า ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคชาวไทย โดยในทุกช่วงวัย (Generation) ให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกในการพิจารณาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่มีความยั่งยืน
ส่วนประเด็นที่ถูกให้ความสำคัญมากที่สุด 3 ลำดับแรกคือ 1. กระบวนการผลิตต้องเป็นมิตรและดูแลสิ่งแวดล้อม 2. มีการจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน และ 3. มีการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สะท้อนว่า ปัจจุบันคนไทยมีความตื่นตัวกับปัญหาสิ่งแวดล้อมและพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคเพื่อสนับสนุนผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
จากผลสำรวจข้างต้น ตอกย้ำถึงค่านิยมและรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้บริโภคชาวไทยที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต สะท้อนได้จากปัจจัยที่ใช้ในการพิจารณาเลือกซื้อสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่หันมาให้ความสำคัญกับแนวคิดการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน (Sustainable lifestyle) มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม
ดังนั้น ภาคธุรกิจจึงจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันยุคสมัยเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยต้องหันมาใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่การผลิตมากขึ้น เริ่มตั้งแต่การได้มาของวัตถุดิบต่าง ๆ กระบวนการผลิต เรื่อยไปจนถึงบรรจุภัณฑ์ที่เลือกใช้ซึ่งต้องไม่สร้างผลกระทบและซ้ำเติมปัญหาสิ่งแวดล้อมที่กำลังเผชิญอยู่ เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่เลือกซื้อนั้นมีความรักษ์โลกและมีส่วนช่วยดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมจริง
อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคชาวไทยยังยินดีจ่ายเงินแพงขึ้น (Premium price) เพื่อสนับสนุนผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่มีความยั่งยืนอีกด้วย ดังนั้น ภาคธุรกิจจึงจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ในการตั้งราคาสินค้าอย่างเหมาะสม เพื่อหาจุดสมดุลระหว่างความสามารถในการซื้อและความเต็มใจจ่ายของผู้บริโภค รวมทั้งอาจทำกลยุทธ์ทางการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ร่วมด้วยเพื่อดึงดูดความสนใจและกระตุ้นการตัดสินใจของผู้บริโภค
47% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า หากมีตัวเลือกในตลาดก็พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยการหันไปบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารที่ทำจากโปรตีนจากพืชเพื่อทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์เนื่องจากเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ นอกจากนี้ การบริโภคโปรตีนจากพืชยังมีส่วนช่วยลดการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตและช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย
ทั้งนี้ คนไทยสร้างขยะอาหารสูงเป็นอันดับ 3 ในกลุ่มอาเซียน และสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกค่อนข้างมาก สะท้อนว่าครัวเรือนส่วนใหญ่ยังไม่ตระหนักถึงแนวทางป้องกันและลดการเกิดขยะอาหารตั้งแต่ต้นทางคือในครัวเรือน ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันการสูญเสียของอาหาร การคัดแยก รวมไปถึงการจัดการหรือสร้างมูลค่าเพิ่มจากขยะอาหารที่เกิดขึ้น โดยหนึ่งในกลไกการแก้ปัญหาขยะอาหารของภาครัฐ คือการผลักดันโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อส่งเสริมให้เกิดการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนและนำไปสู่เป้าหมาย Zero waste ขณะที่ภาคเอกชนเองก็ต้องปรับแนวคิดด้วยการเปลี่ยนให้วิกฤติขยะอาหารกลายเป็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ที่สร้างรายได้เพิ่มเติม
อนาคตของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มยังเต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทายอีกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับเปลี่ยนแนวคิดและโมเดลการทำธุรกิจเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในเรื่องความยั่งยืน ดังนั้นกระบวนการผลิตสินค้าในทุกขั้นตอนตลอดห่วงโซ่การผลิต จะต้องมีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ (Traceability) รวมทั้งจะต้องมีการบริหารจัดการซัพพลายเชนอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนร่วมด้วย