ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB EIC เปิดเผยบทวิเคราะห์ กำแพงภาษีสหรัฐฯ กระทบชัดขึ้น ส่งออก ส.ค. ชะลอลงมาก โดยระบุว่า มูลค่าส่งออกสินค้าเดือน ส.ค. 2025 อยู่ที่ 27,743.19 ล้านดอลลาร์สหรัฐขยายตัวชะลอลงเหลือ 5.8% ชะลอลงมากจาก 11.0%YOY ในเดือนก่อน และชะลอลงมากกว่าที่ประเมินไว้ (SCB EIC และค่ากลาง Reuter Poll ประเมิน 9.5%) ตัวเลขปรับฤดูกาลหดตัว -0.1%MOM_SA ต่อเนื่องจาก -1.6%MOM_SA ในเดือน ก.ค. ภาพรวมมูลค่าส่งออก 8 เดือนแรกของปียังขยายตัวสูง 13.3% จากผล Frontload ในช่วง 7 เดือนแรกของปีก่อนสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีตอบโต้
ส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ไปสหรัฐฯ และส่งออกทองไปสวิตเซอร์แลนด์และบางประเทศในอาเซียนยังหนุนให้ส่งออกขยายตัว ซึ่งการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ เดือน ส.ค. ชะลอลงเหลือ 12.8%YOY จากที่เคยขยายตัวสูง 42.1% และ 31.4% ในเดือน มิ.ย. และ ก.ค. ตามลำดับ เริ่มสะท้อนผลกระทบจากกำแพงภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ต่อการส่งออกไทยที่ถูกเรียกเก็บอัตรา 19% มาตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค. เพิ่มจากอัตรา 10% ที่สหรัฐฯ เก็บทุกประเทศนับตั้งแต่ 2 เม.ย. เป็นต้นมา แม้การส่งออกไทยไปสหรัฐฯ จะชะลอลงมากในเดือนนี้ แต่การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ยังได้รับยกเว้นภาษีก่อนถูกเรียกเก็บ Specific tariff รายสินค้าเพิ่มเติมยังคงเป็นแรงหนุนสำคัญให้การส่งออกไทยไปสหรัฐฯ โดยรวมยังขยายตัวได้ โดยเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบขยายตัว 65.8%, เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 17.5% และแผงวงจรไฟฟ้า 34.6% ทั้งนี้การส่งออกสินค้าไปตลาดสหรัฐฯ มีส่วนช่วยให้การส่งออกไทยเดือนนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้น (CTG) 2.4%YOY ของการเติบโตส่งออกรวม 5.8%YOY
ทองคำยังคงเป็นปัจจัยหนุนการส่งออกที่สำคัญในเดือนนี้ การส่งออกทองคำไม่ขึ้นรูปขยายตัวสูง 144% จากที่หดตัว -14.7% ในเดือนก่อน การส่งออกทองคำไปสวิตเซอร์แลนด์, กัมพูชา, สปป.ลาว และสิงคโปร์ขยายตัวสูง 177.8%, 30.4%, 918.1% และ 238.3% ตามลำดับ (คิดเป็น 95.5% ของมูลค่าส่งออกทองคำไม่ขึ้นรูปทั้งหมดในเดือนนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความต้องการทองคำในตลาดโลกเพื่อรองรับความเสี่ยงที่สูงขึ้น รวมถึงราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นมาก การส่งออกทองคำมีส่วนช่วยให้การส่งออกไทยเดือนนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้น (CTG) 2.5%YOY เกือบครึ่งหนึ่งของการเติบโตส่งออกรวม 5.8%YOY
การนำเข้าเร่งตัวมากและขยายตัวทุกหมวด ส่งผลให้ดุลการค้าเดือนนี้กลับมาขาดดุลสูง โดยที่มูลค่าการนำเข้าสินค้าเดือน ส.ค. อยู่ที่ 29,707.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐขยายตัว 15.8% เร่งขึ้นมากจาก 5.1% ในเดือน ก.ค. สูงกว่าประมาณการ (SCB EIC และค่ากลาง Reuter Poll ประเมิน 9.2%) ภาพรวมมูลค่านำเข้า 8 เดือนแรกปีนี้ขยายตัวสูง 13.3% โดยการนำเข้าเกือบทุกหมวดขยายตัวสูงกว่าเดือนก่อน คือ 1) สินค้าทุนขยายตัวสูง 29.5% ต่อเนื่องจาก 23.3% ในเดือนก่อน โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าทุนจากจีนที่ขยายตัวต่อเนื่อง 53.5% จาก 54.2% และ 48.1%
ในเดือน ก.ค. และ มิ.ย. ตามลำดับ และคิดเป็นเกือบครึ่ง 49.2% ของการนำเข้าสินค้าทุนทั้งหมดในเดือนนี้ 2) สินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัว 16.9% จาก 5.5% ในเดือนก่อน โดยนำเข้าจากจีน, เวียดนาม และสหรัฐฯ สูงขึ้น 24.3%, 26% 73.7% เทียบกับ 11.9%, 4.3% และ -9.4% ในเดือนก่อน ตามลำดับ ทั้งนี้การนำเข้าเครื่องประดับอัญมณีจากสหรัฐฯ ขยายตัวสูงกว่า 274.9% 3) สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (รวมทองคำ) โดยเฉพาะจากไต้หวันและจีนขยายตัวสูง 169.1% และ 24.4% ตามลำดับ เกือบครึ่ง 45.9% ของมูลค่าการนำเข้าหมวดนี้ทั้งหมดในเดือนนี้ 4) ยานพาหนะและอุปกรณ์ จาก สหรัฐฯ และอินโดนีเซียเพิ่มขึ้น 29.8% และ 38.2% เทียบกับที่เคยหดตัวเดือนก่อน 5) เชื้อเพลิง กลับมาขยายตัว 5.6% หลังจากหดตัวต่อเนื่อง 3 เดือน โดยการนำเข้านำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น 14.1% และ 33% ตามลำดับ สำหรับ 6) อาวุธและยุทธปัจจัย นำเข้าชะลอลงเล็กน้อย 7.2% เทียบเดือนก่อนที่ 7.8%
SCB EIC พบ 2 ประเด็นน่าสนใจของตัวเลขนำเข้าเดือน ส.ค. นี้ ไทยนำเข้าเครื่องประดับอัญมณี (สินค้าอุปโภคบริโภค) สูงถึง 74.2% เพิ่มจาก 25.1% ในเดือนก่อน โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ สูงถึง 279.4% เพิ่มจาก 24.1% ในเดือนก่อน คิดเป็นกว่า 42.6% ของมูลค่านำเข้าเครื่องประดับอัญมณีทั้งหมดของไทยในเดือนนี้ไทยนำเข้าแผงวงจรไฟฟ้า (สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป) เพิ่มขึ้นมาก 122.9% เทียบ 5.1% ในเดือนก่อน มูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3,727.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะจากไต้หวันสูงถึง 246.2% เพิ่มจาก -31.6% ในเดือนก่อน คิดเป็น 60.1% ของมูลค่านำเข้าแผงวงจรไฟฟ้าทั้งหมดของไทยในเดือนนี้
ดุลการค้า (ระบบศุลกากร) เดือนนี้กลับมาขาดดุลสูง -1,964.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากเกินดุลติดต่อกัน 3 เดือน สวนทางกับที่คาดการณ์ไว้ว่าจะยังเกินดุล ผลจากการนำเข้าที่สูงกว่าคาดการณ์ไว้มาก ดุลการค้าสะสม 8 เดือนแรกของปี 2025 ขาดดุล -1,704.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
SCB EIC มองส่งออกเสี่ยงหดตัวในช่วงที่เหลือของปีนี้ หลังภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ส่งผลชัดขึ้น และ Specific tariffs ที่อาจออกมาเพิ่ม โดยคาดว่ามูลค่าส่งออกไทยในช่วง 4 เดือนที่เหลือของปีนี้เสี่ยงหดตัวจากภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่เริ่มเห็นผลตั้งแต่เดือน ส.ค. และ Specific tariffs ที่สหรัฐฯ เตรียมประกาศเพิ่ม โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของไทยไปสหรัฐฯ ที่ยังเติบโตสูงมากในช่วง 8 เดือนแรกของปีก่อนถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีเพิ่ม รูปที่ 2 ชี้ว่าการส่งออกไทยในเดือน ส.ค. ขยายตัวจากปัจจัยชั่วคราว ทั้งการเร่งส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และทองคำไม่ขึ้นรูป หากไม่นับปัจจัยชั่วคราวนี้ การส่งออกไทยเดือน ส.ค. อาจไม่มีการเติบโตหรือหดตัวไปแล้ว
นอกจากนี้ อัตราการเติบโตของมูลค่าส่งออกไปสหรัฐฯ 12.8%YOY มาจากสินค้าหมวดอิเล็กทรอนิกส์เป็นตัวหลัก (CTG) มากถึง 13.4%YOY (สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่สหรัฐฯ ยังยกเว้นภาษีมี CTG 12.2%YOY) รูป 4 สะท้อนว่า หากไม่มีแรงส่งจากสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าว การส่งออกไทยไปสหรัฐฯ อาจหดตัว นอกจากนี้ ส่งออกไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังเผชิญปัจจัยฐานสูง และค่าเงินบาทแข็งนำภูมิภาค ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกดดันความสามารถในการแข่งขันของภาคการส่งออกของไทยเพิ่มเติมนอกจากปัจจัยภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ได้
แม้ไทยต่อรองสหรัฐฯ ลดภาษีตอบโต้เหลือ 19% แต่นโยบายกำแพงภาษียังมีความไม่แน่นอนและซับซ้อนในรายละเอียด อาจทำให้ไทยโดนภาษีสูงกว่า 19% ที่เจรจาไว้ได้ ซึ่งจากภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ เก็บเพิ่มแบบ Stack กับคู่ค้าทั่วไป โดยสหรัฐฯ จะเก็บอัตราภาษีตอบโต้ตามที่ประกาศไว้ต้นเดือน ส.ค. เพิ่มจากอัตราภาษีเดิมที่สินค้าแต่ละประเทศถูกเรียกเก็บตาม Harmonized Tariff Schedule of the United States (HTSUS) หรืออัตรา Normal Trade Relations (NTR) หรือ MFN Rate ประเทศทั่วโลกที่ไม่ได้มีข้อตกลงการค้าพิเศษ (FTAs) กับสหรัฐ เช่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ จะต้องเจออัตราภาษีนำเข้าใหม่สูงกว่าอัตราภาษีเดิมที่เคยถูกเรียกเก็บ เช่น ไทย เดิมเคยจ่าย MFN Rate เฉลี่ย 3.5% หลังเจอภาษีศุลกากรตอบโต้ใหม่ 19% รวมกันเป็น 22.5% (รูปที่ 5)
สหรัฐฯ ตกลงเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ 15% จากสหภาพยุโรปและญี่ปุ่นแบบ Non-stack โดย
หากอัตราภาษีนำเข้าเดิม (HTSUS) น้อยกว่า 15% อัตราภาษีนำเข้าสินค้านั้นจะถูกปรับใหม่เป็น 15% ขั้นต่ำ เช่น รถยนต์ญี่ปุ่น เดิมโดนเก็บอัตราภาษี 2.5% จะถูกปรับเป็น 15% (ไม่ใช่ 2.5%+15% = 17.5%) ขณะที่ หากอัตราภาษีนำเข้าเดิม (HTSUS) มากกว่า 15% อัตราภาษีนำเข้าสินค้านั้นจะไม่ถูกเก็บอัตราภาษีตอบโต้เพิ่มเติม (จ่ายอัตราภาษีเดิม) เช่น เนื้อวัวญี่ปุ่น เดิมโดนอัตราภาษีนำเข้า 26.4% จะไม่โดนเก็บภาษีนำเข้าเพิ่ม ความสามารถในการแข่งขันของสินค้าสหภาพยุโรปและญี่ปุ่นในตลาดสหรัฐฯ จึงมีแต้มต่อเทียบกับคู่แข่งทั่วไป
ประเทศทั่วโลกจะต้องเผชิญภาษีนำเข้าสหรัฐฯ 4 รูปแบบที่ยังมีความซับซ้อนสูง อาจโดนเก็บอัตราภาษีนำเข้าบางรูปแบบสูงกว่าอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ที่เจรจาไว้ คือ
-ภาษีสวมสิทธิ์ (Transshipment tariff) อัตรา 40% สำหรับสินค้าที่มีขั้นตอนการผลิตโดยใช้ Local content หรือ Regional value content ต่ำ อย่างไรก็ตาม ภาษีนี้ยังไม่มีความชัดเจนในรายละเอียด SCB EIC ประเมินเบื้องต้นพบว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมส่งออกไทยที่มีสัดส่วนการใช้ Import content สูง คิดเป็นราว 40% ของมูลค่าการส่งออกไทยทั้งหมดไปสหรัฐฯ
-ภาษีเฉพาะเจาะจงรายสินค้า (Specific tariff) เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม ผลิตภัณฑ์เหล็กบางชนิดถูกเก็บอัตราภาษี 25%-50% สำหรับทองแดงอัตรา 50% ขณะที่รถยนต์และส่วนประกอบอัตรา 25% SCB EIC ประเมิน Top-16 สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปสหรัฐฯ พบว่า 3 ใน 16 รายการ เช่น ยางยานพาหนะ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์เหล็กและเหล็กกล้าอยู่ในกลุ่มนี้ คิดเป็นสัดส่วนราว 12% ของมูลค่าส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ทั้งหมด
-ภาษีเฉพาะเจาะจงพิเศษภายใต้ มาตรา 232 (Special specific tariff under section 232)
เก็บอัตราภาษีไม่ตายตัว โดยจะเก็บภาษีเหล็ก 50% ตามมูลค่าเนื้อเหล็กที่สินค้านั้น ๆ ใช้ในการผลิต เช่น เครื่องปรับอากาศ (ซึ่งส่วนมากจะมีมูลค่าเนื้อเหล็กในการผลิตสูงราว 50%) จะถูกเก็บอัตราภาษีรายการนี้อีก 25% แทนอัตราภาษีตอบโต้ 19% SCB EIC ประเมิน Top-16 สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปสหรัฐฯ พบว่า 3 ใน 16 รายการ เช่น ตู้เย็น, ตู้แช่แข็งและส่วนประกอบ, เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และเครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ อยู่ในกลุ่มนี้ คิดเป็นสัดส่วนราว 7% ของมูลค่าส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ทั้งหมด
-ภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal tariff) 19% ตามข้อตกลงการค้าไทยกับสหรัฐฯ ในเดือน ส.ค.
SCB EIC ประเมิน Top-16 สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปสหรัฐฯ พบว่า 6 ใน 16 รายการ อยู่ในกลุ่มนี้ คิดเป็นสัดส่วนราว 16% ของมูลค่าส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ทั้งหมด
อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันสหรัฐฯ ยกเว้นภาษีนำเข้าให้บางสินค้าที่สหรัฐฯ ผลิตได้จำกัดหรือผลิตไม่ได้ เช่น หลอดไฟ LED แกรไฟต์ ส่วนประกอบยาบางชนิด และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์หลายชนิด ส่งผลให้หลายประเทศทั่วโลกที่มีการส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ไปสหรัฐฯ ยังคงขยายตัวดี เช่น ไทย, เวียดนาม และไต้หวัน ซึ่งส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไปสหรัฐฯ สูง SCB EIC ประเมินจาก Top-16 สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปสหรัฐฯ สินค้ากลุ่มนี้ คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 30% ของมูลค่าส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐฯ ทั้งหมด
นโยบายกำแพงภาษีสหรัฐฯ ยังมีความไม่แน่นอนสูง เนื่องจาก 1) อยู่ระหว่างศึกษาและประกาศ Specific tariffs รายสินค้าเพิ่มเติม เช่น ยาและวัตถุดิบ, เซมิคอนดักเตอร์, รถบรรทุกขนาดใหญ่, ไม้และไม้แปรรูป และเครื่องบินพาณิชย์และเครื่องยนต์เจ็ท 2) ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ – จีนอาจกลับมาตึงเครียดอีกครั้งหลังสิ้นสุดข้อตกลงลดอัตราภาษีนำเข้าชั่วคราว 90 วัน (สหรัฐฯ เก็บจีนเหลืออัตรา 30%) ในวันที่ 10 พ.ย. 3) สหรัฐฯ เรียกร้องให้ประเทศพันธมิตร เช่น G-7 ขึ้นภาษีนำเข้าจีน, อินเดีย หรือประเทศอื่น ๆ ที่ทำการค้ากับรัสเซีย และ 4) หาก US Supreme Court ตัดสินทรัมป์แพ้คดีการใช้อำนาจประธานาธิบดี (IEEPA)ออกคำสั่งเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ ทรัมป์อาจใช้ทางเลือกอื่น เช่น I) มาตรา 232 Trade Expansion Act 1962 ขยายประเภท Sectoral tariff II) มาตรา 122 Trade Act 1974 เก็บ Universal tariff 15% นาน 150 วัน และ III) มาตรา 301 Trade Act 1974 เก็บภาษีประเทศที่มีการค้าที่ไม่เป็นธรรม