SCB WEALTH คาดเฟดจะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 4.38% จนถึงสิ้นปีนี้  จากมาตรการภาษีของทรัมป์ยังสร้างความเสี่ยงเศรษฐกิจ ชวนปรับพอร์ตรับความผันผวน 

SCB WEALTH จัดงานสัมมนาให้แก่กลุ่มลูกค้า PRIVATE BANKING  ภายใต้หัวข้อ “Solution Amidst Uncertainty ” โดยได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญของ BlackRock ร่วมเป็นผู้บรรยายพิเศษ มุ่งเน้นการถอดรหัสทิศทางเศรษฐกิจโลกและไทย  พร้อมทั้งแนวทางบริหารพอร์ตการลงทุนให้สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างยั่งยืน แม้ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนที่ยังคงปกคลุมเศรษฐกิจโลก  งานสัมมนาในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก นายแพททริก  ปูเลีย  (กลาง) รองผู้จัดการใหญ่  Head of Financial Markets Function และ Head of Private Banking Relationship Management  ธนาคารไทยพาณิชย์  พร้อมด้วย นายนิคิล มัจรา  (ที่2ขวา) Managing Director,Head of APAC Multi-Asset Strategies & Solutions, BlackRock  นายมาร์ก ฟัสชาร์ด  (ที่ 3 ขวา)  Director , APAC Multi-Asset Strategies & Solutions , BlackRock ดร.ปิยศักดิ์  มานะสันต์  (ที่3 ซ้าย) หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์  นายธณาพล อิทธินิธิภัค (ที่ 2ซ้าย)  Head of Thailand Business, BlackRock และนายรุ่งโรจน์ เสกสรรค์วิริยะ (ที่1ซ้าย) ผู้อำนวยการ Investment Product  ธนาคารไทยพาณิชย์   ร่วมงานสัมมนา  เมื่อเร็วๆนี้  ณ  โรงแรมโซ แบงคอก กรุงเทพฯ

ดร.ปิยศักดิ์  มานะสันต์  หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์  เปิดเผยว่า นโยบายภาษีนำเข้า ( Reciprocal Tariff ) ของรัฐบาลทรัมป์  ทำให้ประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลสูงกับสหรัฐฯ โดยเฉพาะในเอเชีย ต้องเผชิญกับอัตราภาษีที่สูง ซึ่งตามการประเมินภาษีเฉลี่ยที่สหรัฐฯจัดเก็บทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 28%  อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจะมีการเจรจา ทำให้ภาษีที่รัฐบาลทรัมป์จะจัดเก็บทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 15% ส่งผลให้มีการปรับลดการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงในปีนี้ประมาณ 0.8% อยู่ที่ 2.5% จากผลกระทบของสงครามการค้าที่เริ่มมีความเสี่ยงมากขึ้น แม้ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกจะดีขึ้นชั่วคราวก่อนสงครามการค้าจะรุนแรง  โดยล่าสุด เริ่มเห็นสัญญาณการชะลอลงของภาคการผลิตในหลายประเทศ โดยเฉพาะในยุโรป และเอเชีย สอดคล้องกับภาษีการค้าที่เริ่มส่งผลทำให้เศรษฐกิจในครึ่งปีหลังของปีนี้ มีแนวโน้มชะลอตัวลงมากขึ้น

อย่างไรก็ตามคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 4.38% จนถึงสิ้นปีนี้  เนื่องจากมาตรการภาษีของทรัมป์จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลง (Stagflation) เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 3.0% โดยเร่งขึ้นมากในครึ่งหลังของปี  2568  ทำให้เฟดต้องควบคุมความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ จึงอาจจะส่งผลให้ไม่สามารถลดดอกเบี้ยลงได้  ส่วนนโยบายการเงินโลก  ธนาคารกลางส่วนใหญ่ ยกเว้นสหรัฐ และญี่ปุ่น จะผ่อนคลายนโยบายการเงินในระยะต่อไป เพื่อช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจที่ชะลอลง ในขณะที่สหรัฐจะเผชิญกับภาวะ Stagflation  มากขึ้น   และญี่ปุ่นเงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทำให้ธนาคารกลางทั้งสองแห่งอาจต้องทำนโยบายการเงินตึงตัวต่อเนื่อง  ด้วยปัจจัยดังกล่าวทำให้เงินบาทมีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลง  เนื่องจากดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดที่จะเกินดุลลดลงและขาดดุลมากขึ้น  เงินไหลเข้าผ่านตลาดเงินตลาดทุนที่ลดลงตามทิศทางนโยบายการเงินที่แตกต่างกัน  และปัจจัยเชิงฤดูกาลจากแนวโน้มค่าเงินบาทที่มักจะอ่อนค่าช่วงกลางปี 

นอกจากนี้  มีความเป็นไปได้ที่ส่งออกไทยจะหดตัวลดลงจาก -3.0% มาอยู่ที่ -0.5% YoY  จากรายได้การส่งออกที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้  แต่มองว่า ช่วงครึ่งหลังของปี การส่งออกมีแนวโน้มชะลอลงเนื่องจากผู้ประกอบการจำนวนมากได้เร่งส่งออกไปสหรัฐฯ ล่วงหน้าไปแล้ว  นอกจากนี้ ค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มอ่อนค่าลงจากแรงกดดันด้านต่างประเทศ  โดยเฉพาะความเสี่ยงที่เฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยสูงนานกว่าที่ตลาดคาด  ขณะที่เราคาดว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มอีก  2  ครั้ง  หลังจากที่ประกาศปรับลดดอกเบี้ยในเดือน เมษายน ที่ผ่านมา ได้ลดดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 1.75%  และ มีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในเดือนสิงหาคม และตุลาคม   เนื่องจากความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากสงครามการค้าโลก ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างเต็มที่ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เพียง 1.3% หรือน้อยกว่านั้น  รวมทั้ง อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย  การปล่อยสินเชื่อที่หดตัว   และภาวะการเงินที่ยังคงตึงตัวปัจจัยเหล่านี้ล้วนสนับสนุนให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)  ดำเนินมาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมในการประชุมครั้งถัดไป ในเดือนสิงหาคม และอีกครั้งในไตรมาสสุดท้ายของปี ทั้งนี้  หากสงครามการค้าและ/หรือสถานการณ์การเมืองในประเทศ มีความรุนแรง และกระทบเศรษฐกิจมากขึ้น กนง. อาจจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ

 สำหรับประมาณการค่าเงินบาทเฉลี่ยในปี 2568  อยู่ที่ 34.5 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐฯ  โดยคาดว่าค่าเงินบาทจะอ่อนลงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จากหลายปัจจัยสำคัญ ได้แก่  การชะลอของเงินทุนไหลเข้าประเทศไทย การส่งออกที่มีแนวโน้มชะลอตัว  การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่ำกว่าคาด  และข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ปัจจัยที่ยังพอช่วยพยุงเศรษฐกิจในระยะสั้น  เช่น  การเร่งการส่งออก แต่ยังไม่เพียงพอ ไม่สามารถพึ่งพาได้ในระยะยาว

แนวโน้มเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยในไตรมาส3 ได้ประมาณการณ์เศรษฐกิจไทย เป็น 2 สถานการณ์ ในกรณี Base case  (โอกาส 60 %) GDP ไทยจะขยายตัว 1.4% ในขณะที่การส่งออกหดตัว -3.0%  และมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยเชิงเทคนิคในช่วงครึ่งหลังปี ส่วนกรณี Best Case (โอกาส 40 %) หากการเจรจากับสหรัฐฯประสบความสำเร็จและสถานการณ์โลกดีขึ้น GDP ไทยอาจขยายตัวได้ 1.7%   และการหดตัวของการส่งออกจะลดลงเหลือเพียง -0.5% แทนที่จะเป็น -3.0%  ประเทศไทยยังเผชิญกับความเสี่ยงสำคัญ 6 ด้าน ได้แก่ ความตึงเครียดทางการค้าและมาตรการภาษีสจากสหรัฐฯ   การชะลอตัวของภาคการท่องเที่ยว   ความเปราะบางของภาคเกษตร  การเมืองขาดเสถียรภาพ  หนี้ครัวเรือนในระดับสูง และการชะลอตัวของการลงทุนภาคเอกชน  จากปัจจัยเหล่านี้ ตลาดหุ้นไทยในไตรมาส2  มีแนวโน้มปรับตัวลดลง 2%   ซึ่งถือว่าต่ำกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคและตลาดโลกอยู่ 9%   โดยเป้าหมายของ SET Index ในปี 2568  ยังคงอยู่ที่ระดับ 1,250 จุด โดยมีปัจจัยบวกใหม่ค่อนข้างจำกัด อย่างไรก็ตาม  หากดัชนีปรับตัวลงต่ำกว่า 1,100 จุด   ถือเป็นจุดเข้าซื้อที่น่าสนใจ

 ตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 3  ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แม้ว่าความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างประเทศจะคลี่คลายลง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากภายนอก  ขณะเดียวกันก็จำกัดโอกาสด้านบวก (upside)  ของตลาดโดยรวม  ความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ และสถานการณ์ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนยังคงกดดันบรรยากาศการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ แม้ตลาดคาดหวังถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ย  ซึ่งอาจช่วยพยุง sentiment ได้บ้าง  แต่ปัจจัยสนับสนุนในประเทศที่ชัดเจนยังมีจำกัดโครงสร้างพื้นฐานยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ  แม้จะต้องจับตาความเสี่ยงด้านการดำเนินงานที่อาจเกิดขึ้น  ทั้งนี้  ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันอยู่ในภาวะขายมากเกินไป (oversold ) ซึ่งช่วยจำกัด Downside จากปัจจัยต่างประเทศ  ภาวะเศรษฐกิจ และการลงทุนในประเทศที่ยังมีความไม่แน่นอน ทำให้โอกาสที่ตลาดจะปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องยังคงถูกจำกัด  จึงมองว่า  การพื้นตัวของตลาดหุ้นไทยในระยะข้างหน้า ขึ้นอยู่กับการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างจริงจัง  การขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่ให้เห็นเป็นรูปธรรม  และการฟื้นตัวของสภาพคล่องในระบบ  ซึ่งจะช่วยปลดล็อกการเคลื่อนไหวในกรอบแคบของตลาด (sideway) ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้

หลังจากนั้น ต่อด้วยเสวนาในหัวข้อ “ Glabal Market Outlook & Solutions amidst Uncertainty ” ผู้เชี่ยวชาญจาก SCB WEALTH  และ BlackRock  ซึ่งประกอบด้วย นายรุ่งโรจน์  เสกสรรวิริยะ ผู้อำนวยการ Investment Product Selection  ธนาคารไทยพาณิชย์  นายนิคิล มัจรา Managing Director,Head of APAC Multi-Asset Strategies & Solutions, BlackRock  นายมาร์ก ฟัสชาร์ค  Director , APAC Multi-Asset Strategies & Solutions , BlackRock และ นายธณาพล อิทธินิธิภัค Head of Thailand Business, BlackRock  ได้ร่วมกันวิเคราะห์มุมมองเศรษฐกิจโลก  ซึ่งยังคงเผชิญความเสี่ยงจากหลายปัจจัย โดย  BlackRock ประเมินว่า  ความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า   จึงจำเป็นต้องติดตามปัจจัยสำคัญอย่างใกล้ชิด อาทิ อัตราภาษีนำเข้า   ระดับการว่างงาน  การบริโภคภาคเอกชน  และแนวโน้มกำไรของภาคธุรกิจ  เพื่อประเมินผลกระทบในเชิงโครงสร้างอย่างรอบด้าน

อย่างไรก็ตาม  แม้การถือเงินสดอาจช่วยลดความเสี่ยงระยะสั้นในช่วงตลาดผันผวน  แต่ในช่วงเวลาที่ตลาดฟื้นตัวอาจทำให้นักลงทุนพลาดโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดี  ดังนั้นแนวทาง Stay invested หรือการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยไม่พยายามจับจังหวะตลาด  จึงเป็นกลยุทธ์ที่  BlackRock และ SCB WEALTH แนะนำให้กับลูกค้าเพื่อสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งในระยะยาว  ทั้งนี้  การกระจายพอร์ตลงทุนแบบดั้งเดิมที่เน้นลงทุนในหุ้น 60%  และตราสารหนี้  40%  อาจจะทำให้พอร์ตลงทุนไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่เคย ปัจจุบันการเพิ่มน้ำหนักลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก กลายเป็นส่วนสำคัญในการสร้างพอร์ตที่สมดุล โดยเฉพาะการใช้กลยุทธ์แบบ Multi-Asset  และ Liquid Alternatives ที่สามารถกระจายการลงทุนได้อย่างยืดหยุ่นในหลายสินทรัพย์ เช่น หุ้น ตราสารหนี้  และสินทรัพย์ทางเลือกที่มีสภาพคล่องจึงเป็นแนวทางที่ตอบโจทย์ในระยะยาว  และยังช่วยป้องกันพอร์ตในช่วงตลาดขาลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อตลาดโลกมีความไม่แน่นอนสูง

 นายรุ่งโรจน์  กล่าวเสริมว่า   นับตั้งแต่ SCB WEALTH   เป็นตัวแทนจำหน่ายกองทุน SCB Global  Multi- Asset Core Portfolio ( SCBGMCORE) เป็นกองทุนที่ BlackRock ออกแบบพอร์ตให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าธนาคารไทยพาณิชย์โดยเฉพาะ  กองทุน SCBGMCORE มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุน ETF ในสัดส่วน 75%กระจายลงทุนใน หุ้น ตราสารหนี้  ทองคำ REITและTIPs  ส่วนอีก 25% ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกที่มีสภาพคล่องสูงที่ใช้กลยุทธ์แบบ Absolute Return ช่วยกระจายความเสี่ยงและลดความผันผวนของพอร์ต   การบริหารกองทุนดำเนินการโดย  BlackRock เป็นการบริหารแบบเชิงรุก พร้อมเครื่องมือบริหารความเสี่ยงที่ช่วยรักษาสมดุลพอร์ตอย่างมีประสิทธิภาพในทุกสภาวะตลาด  เพื่อส่งเสริมให้ลูกค้าสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินอย่างมั่นคงในระยะยาว

**การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง รวมถึงควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนตัดสินใจลงทุน

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles