SCB WEALTH จัดสัมมนา SCB WEALTH: Holistic Wealth Forum 2025 ภายใต้ธีม Storm Shift ผนึกผู้เชี่ยวชาญชั้นนำระดับประเทศและโลก มอบ “เข็มทิศทางการลงทุน”ให้แก่ลูกค้าเพื่อฝ่าพายุเศรษฐกิจโลก มองปี 2569 เป็นปีหัวเลี้ยวหัวต่อท่ามกลางพายุลูกใหญ่ ทั้งจากภูมิรัฐศาสตร์ เทคโนโลยี AI และโครงสร้างเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนไป มองประเทศไทยกลับอยู่ในจังหวะ “โอกาสทอง” จากตัวเลขของ BOI เม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ด้านตลาดทุนและBOI เร่งผลักดันเศรษฐกิจไทยสู่ New Economy และ Third Wave ในเทคโนโลยี AI, Semiconductor และ Data Center ส่วน BlackRock เผยคลื่น AI Infrastructure จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่ ฮั่วเซ่งเฮง คาดทองคำปี 2569 ยังเป็นขาขึ้น มีโอกาสแตะ 4,700 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อทรอยออนซ์ SCBFM ประเมินเงินบาทผันผวนในกรอบ 31-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ปิดท้ายด้วยการส่งต่อธุรกิจและความมั่งคั่งผ่าน Family Office การจัดทำธรรมนูญครอบครัวเป็นสิ่งจำเป็น แนะหากลไกที่ทำให้การไกล่เกลี่ยเป็นกลาง เพื่อช่วยปกป้องFamily Wealth จากพายุภายในให้มีความยั่งยืน
นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวเปิดงาน “SCB WEALTH: HOLISTIC WEALTH FORUM 2025 ” ภายใต้ธีม “The Storm Shift ” ว่า สถานการณ์ของโลกในช่วงเวลานี้ เรากำลังเผชิญอยู่ท่ามกลางพายุความเปลี่ยนแปลงรอบด้าน ตั้งแต่ความผันผวนด้านเศรษฐกิจมหภาค ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ การเข้ามาของเทคโนโลยี AI ไปจนถึงปัญหาโครงสร้างประชากร ปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งล้วนส่งผลต่อแนวคิดในการบริหารความมั่งคั่งของนักลงทุนอย่างมีนัยสำคัญในยุคที่โลกมีความไม่แน่นอนรอบด้าน ความมั่งคั่งไม่ได้หมายถึงเพียงมูลค่าสินทรัพย์อีกต่อไป แต่คือความสามารถในการรักษา ขยาย และส่งต่อ ความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างยั่งยืน ภายใต้บริบทนี้ SCB WEALTH ตอกย้ำบทบาทผู้นำด้านการบริหารความมั่งคั่งของไทย ผ่าน 3แกนกลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1) Customer Centricity การยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เข้าใจทุกความต้องการของลูกค้าและคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของลูกค้าเป็นสำคัญ 2) Hyper-Personnalization การผสานพลังของทีมที่ปรึกษาการลงทุนเข้ากับเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI เพื่อออกแบบโซลูชันการลงทุนที่เหมาะสมรายบุคคล ตอบโจทย์เป้าหมายของลูกค้าแต่ละท่าน และ3) Go Global การเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้เข้าถึงการลงทุนระดับโลกที่หลากหลายผ่านเครือข่ายพันธมิตรชั้นนำระดับโลกของธนาคาร ถือเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญที่เชื่อมโยงกับธีมงาน “The Storm Shift ” จึงสะท้อนความจริงที่ว่าโลกวันนี้ไม่อาจหยุดรอให้พายุสงบ แต่ทุกคนจำเป็นต้อง Shift เพื่อเปลี่ยนมุมคิดและกลยุทธ์สู่การบริหารความมั่งคั่งแบบรอบด้านและให้มั่นคงกว่าเดิม
โดย SCB WEALTH พร้อมทำหน้าที่เป็นประภาคาร หรือ Guiding Lighthouse ที่คอยส่องสว่างและนำทางให้ลูกค้าสามารถเดินหน้าฝ่าคลื่นความผันผวนไปสู่ความสำเร็จได้ในระยะยาว โดยเชื่อว่าองค์ความรู้และกรอบแนวคิดเชิงกลยุทธ์จากงานฟอรั่มในครั้งนี้ จะช่วยให้นักลงทุนเตรียมความพร้อมรับมือกับปี 2569 ได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น โดยขอย้ำหลักคิดสำคัญของ SCB WEALTH ว่า “ยิ่งพายุรุนแรงเท่าไหร่ แสงจากประภาคารก็ยิ่งต้องสว่างมากขึ้นเท่านั้น” พร้อมกันนี้ SCB WEALTH จะขอยืนเคียงข้างลูกค้าในทุกสภาวะตลาด เพื่อให้การเดินทางสู่ความมั่งคั่งเป็นไปอย่างมั่นคง ปลอดภัย และยั่งยืน ภายใต้แนวคิดที่ยังคงยึดมั่น Your Success. Our Success.
“The Storm Shift ” สะท้อนความจริงที่ว่า โลกวันนี้ไม่อาจหยุดรอให้พายุสงบ แต่ทุกคนจำเป็นต้องShift เพื่อเปลี่ยนมุมคิดและกลยุทธ์สู่การบริหารความมั่งคั่งแบบรอบด้านและมั่นคงกว่าเดิม” นายกฤษณ์ กล่าว
ในงานสัมมนา ช่วง ILLUMINATE ทำหน้าที่เสมือนแสงสว่างจากประภาคาร ช่วยให้ผู้ลงทุนมองเห็นทั้งโอกาส และความเสี่ยงที่อยู่เบื้องหน้า เพื่อเตรียมพร้อมรับมือได้อย่างถูกทิศทาง ภายใต้หัวข้อ “The Future of Thai Wealth: Navigating the Macro Storm ” ซึ่งมุ่งวิเคราะห์และถอดรหัสปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางความมั่งคั่งของไทยในปีหน้า
โดย นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวว่า โลกกำลังเผชิญพายุครั้งใหญ่ ทั้งปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว กติกาใหม่ด้านสิ่งแวดล้อมและภาษีขั้นต่ำของโลก พายุครั้งนี้มาพร้อมกับ “โอกาสทอง” รอบใหม่ของประเทศไทย หากประเทศไทยสามารถเตรียมความพร้อม และช่วงชิงการลงทุนได้ทันเวลา จะเห็นได้ว่าปัจจุบันเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ทั่วโลกหดตัวติดต่อกัน 2 ปี และในปีที่ผ่านมาติดลบถึง 11% แต่ภูมิภาคอาเซียนกลับเติบโตสวนกระแสกว่า 8% และไทยเองก็ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่โดดเด่น ทั้งในแง่ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน ศักยภาพด้านพลังงานสะอาด ซัพพลายเชนที่ครบวงจร นโยบายส่งเสริมการลงทุนที่ชัดเจนและต่อเนื่อง รวมทั้งความน่าดึงดูดสำหรับผู้บริหารและบุคลากรต่างชาติที่จะมาอยู่อาศัยและทำงานในประเทศไทย
ภาพรวมการลงทุน 9 เดือนแรกของปี 2568 เม็ดเงินลงทุนในประเทศไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมูลค่าการลงทุนรวมเพิ่มขึ้นถึง 94% จาก 709,905 ล้านบาทในปีก่อน เพิ่มขึ้นเป็น 1,374,553 ล้านบาท จำนวนโครงการเพิ่มขึ้นจาก 2,137 โครงการเป็น 2,622 โครงการ เติบโต 23% ด้านการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) มีมูลค่ารวมราว 985,337 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82% ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนจากสิงคโปร์ ฮ่องกง จีน อังกฤษ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ ไต้หวัน เนเธอร์แลนด์ ไอร์แลนด์ และมาเลเซีย
“พายุครั้งนี้ไม่ได้พาเพียงความท้าทาย แต่กำลังพา “โอกาสทองของประเทศไทย” กลับมาอีกครั้ง และหน้าที่ของเราคือการทำให้ประเทศพร้อมที่สุด เพื่อดึงดูดการลงทุนแห่งอนาคตมาอยู่ในไทยให้สำเร็จ” นายนฤตม์ กล่าว