SCB WEALTH จัดงานเสวนาออนไลน์ ผ่านทาง SCB WEALTH Line official ในหัวข้อ “ภาษีใหม่ = โอกาสใหม่? เปิดมุมมองเศรษฐกิจ และการลงทุน ใครได้ประโยชน์ ใครเสียประโยชน์ ” โดยการผนึกกำลังกับทีม Holistic ได้แก่ SCB EIC, SCB CIO และ InnovestX เพื่อให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุนแก่ลูกค้า SCB WEALTH และนักลงทุนทั่วไป หลังการประกาศอัตราภาษีนำเข้าใหม่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในวันที่ 1 ส.ค. 2568
นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย Head of Research Department บริษัทหลักทรัพ์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX ) กล่าวว่า ภาษีใหม่ที่ประกาศออกมามีความชัดเจน โดยไทยถูกคิดในอัตราที่ไม่ต่างจากประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนและดีกว่าเวียดนามที่ถูกคิด 20% จึงถือเป็นโอกาสสำหรับเศรษฐกิจไทย โดย InnovestX ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัว 1.8% ดีขึ้นกว่าประมาณการเดิม จากสัญญาณการเจรจาการค้าที่ดีขึ้น เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกที่ดีกว่าคาด และการเมืองระหว่างประเทศที่แม้จะยังไม่แน่นอนแต่ภาพรวมเหตุการณ์คงไม่ลุกลามบานปลายแล้ว สำหรับผลกระทบจากภาษีใหม่นั้น เรามองว่า การส่งออกไปยังสหรัฐฯ จะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะมีต้นทุนส่วนหนึ่งถูกส่งผ่านไปที่ผู้บริโภค แต่บางส่วนจะถูกส่งผ่านไปที่ผู้ขนส่ง และผู้ประกอบการต้องแบกรับต้นทุนเองบางส่วนด้วย ส่งผลกระทบต่ออัตรากำไร ขณะที่กำลังซื้อในสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลง อาจส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ผู้ผลิตอาหารสัตว์ อาหารทะเลแช่แข็ง และยา อาจได้รับผลกระทบจากการเปิดให้นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น
สำหรับกลุ่มธุรกิจ ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์ ได้แก่ ผู้เลี้ยงสัตว์ที่อาจได้ประโยชน์จากต้นทุนอาหารสำหรับเลี้ยงสัตว์ที่ลดลง กลุ่มโรงพยาบาล เนื่องจากนำเข้าตัวยาได้ถูกลง ในขณะที่ค่าบริการทางการแพทย์ไม่ได้ลดลงไปด้วย และกลุ่มโรงไฟฟ้า จากต้นทุนการนำเข้าก๊าซ LNG ต่ำลง และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ที่อาจมีการตัดสินลงทุนมากขึ้น หลังที่ผ่านมาชะลอเพื่อรอประเด็นภาษี
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนค่อนข้างดีในเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา โดย SET index ปรับเพิ่ม 14% ซึ่งสะท้อนพัฒนาการของการเจรจาการค้าไประดับหนึ่งแล้ว นอกจากนั้นตลาดหุ้นไทยยังได้แรงหนุนจากกระแสเงินทุนต่างชาติไหลกลับมาลงทุนมากขึ้น หลังจากไหลออกมากในช่วงครึ่งปีแรก ดังนั้นอาจระมัดระวังแรงขายทำกำไรในตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น สำหรับกลยุทธ์การลงทุนต้องเน้นคัดเลือกหลักทรัพย์ (Selective) มากขึ้น ในส่วนของ InnovestX ประเมินปัจจัยพื้นฐานของ ดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้อยู่ที่ 1,250 จุด อย่างไรก็ตามหากกระแสเงินลงทุนยังไหลเข้ามาต่อเนื่อง SET Index อาจมี upside ให้กลับไปซื้อขายในระดับ PER ในอดีตที่ 14-16 เท่า หรือคิดเป็นระดับดัชนีที่ 1242-1,419 จุด
กลยุทธ์การลงทุนสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ อาจพิจารณาลงทุนในหุ้นที่ยังปรับตัวขึ้นช้า (Laggard) เช่น BDMS CPALL MINT MTC และ PTT สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ค่อนข้างสูง แนะนำนักลงทุนในหุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากจากการเจรจาสงครามการค้าในครั้งนี้ ได้แก่ AMATA BTG CPF GPSC WHA
น.ส.เกษรี อายุตตะกะ ผู้อำนวยการ Investment Research SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า แม้ความไม่แน่นอนทางการค้าปรับตัวดีขึ้น แต่ด้านการลงทุนก็ยังมีความไม่แน่นอนที่นักลงทุนยังวางใจไม่ได้ ใน 3 ประเด็น ได้แก่ 1) การเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศต่างๆ ที่มีอยู่หลังจากนี้ เช่น จีน ที่จะมีการเจรจารอบถัดไป 2) ประเด็นที่จีนและอินเดียยังน้ำเข้าน้ำมันจากรัสเซียอยู่ ซึ่งอาจทำให้ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาตรการเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมในอนาคต และ 3) ติดตามว่าศาลอุทธรณ์จะตัดสินกรณีการใช้อำนาจของประธานาธิบดี ทรัมป์ ว่าใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) หรือไม่ หากผลออกมาว่า เกินอำนาจ คาดว่าประธานาธิบดี ทรัมป์ จะเดินหน้ายื่นเรื่องไปยังศาลฎีกา และหากผลสุดท้ายออกมาว่าไม่สามารถใช้อำนาจประธานาธิบดีได้ ก็อาจทำให้ประธานาธิบดี ทรัมป์ ออกมาตรการภาษีอื่นที่ส่งผลกระทบเฉพาะบางรายการสินค้าแทน เนื่องจากต้องการหารายได้จากภาษีนำเข้าเพื่อไปชดเชยการขาดดุลงบประมาณที่มากขึ้น จากการขยายเวลาปรับลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และการเพิ่มการใช้จ่ายด้านการคลัง
ทั้งนี้ SCB CIO ประเมินว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีตอบโต้ Reciprocal Tariff แต่ไม่ถึงขั้นถดถอย โดย Consensus คาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังเติบโตได้ 1.5% ในปีนี้ ขณะที่ เงินเฟ้อสหรัฐฯ น่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แม้ SCB CIO คาดว่า Fed มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปีนี้ แต่สัญญาณการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ลดลง คาดว่า จะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีโอกาสที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้มากกว่า 1 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ ดังนั้น ในส่วนของการลงทุนตราสารหนี้ เราแนะนำให้ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหรือหุ้นกู้คุณภาพดี (Investment Grade) ของสหรัฐฯ ระยะสั้นถึงกลาง หลีกเลี่ยงตราสารหนี้สหรัฐฯ ระยะยาว เนื่องจากส่วนชดเชยความเสี่ยง (Term premium) ยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น ตามแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ยังสูงและแนวโน้มการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ ที่สูงขึ้น
สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว มองว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้รับแรงสนับสนุนจากแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ย รวมถึงร่างกฎหมายภาษีและงบประมาณขนาดใหญ่ (One Big Beautiful Bill) ของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่สนับสนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขณะที่ กำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี โดยมองว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงกับกระแสปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังได้แรงหนุนจากการที่ทางการสหรัฐฯ ออกแผนเพื่อเร่งพัฒนา AI โดยเน้นลดข้อจำกัดทางกฎระเบียบ และ Hyperscalers ขนาดใหญ่ยังเพิ่มงบลงทุน (Capex) บนกลุ่ม AI ขณะที่ ยุโรป คาดว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวได้จากการใช้นโยบายการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจ และการลดดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทจดทะเบียนในยุโรปมีแนวโน้มถูกปรับประมาณการกำไรดีขึ้น ส่วนญี่ปุ่นนั้น จากการที่นายกรัฐมนตรีอิชิบะ พ่ายแพ้การเลือกตั้งทั้งในสภาบนและสภาล่าง ทำให้มีโอกาสที่จะลาออกช่วงปลายเดือน ส.ค. นี้ และมีการจัดตั้งพรรคร่วมรัฐบาลใหม่ ที่มีโอกาสออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งจะสนับสนุนให้ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนมีทิศทางที่ดีขึ้น
ด้านการลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่นั้น จีนยังมีแนวโน้มใช้นโยบายการคลังเชิงรุกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง การออกแผนยุทธศาสตร์ เช่น โครงการลงทุนเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำในทิเบต ทยอยออกนโยบายต่อต้านการแข่งขันที่มากเกินไป จนส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมจีน (anti-involution) ซึ่งจะช่วยหนุนผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นจีนได้ ขณะที่ อินเดีย ซึ่งถูกคิดภาษีตอบโต้ 25% โดยภาพรวมอาจได้รับผลกระทบไม่มาก เนื่องจากมีสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐฯ เพียง 2% ของการส่งออกรวม และคาดว่าจะมีการออกนโยบายกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศมากขึ้น
น.ส.นิสารัตน์ ชมภูพงษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายให้คำปรึกษาด้านความมั่งคั่งและการลงทุน SCB CIO กล่าวว่า สำหรับการจัดพอร์ตลงทุนเพื่อรับมือโอกาสจากภาษีใหม่นั้น SCB CIO แนะนำกลยุทธ์การจัดพอร์ตแบบสมดุล โดยเน้นกระจายความเสี่ยงผ่านการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท โดยแบ่งสัดส่วนการลงทุนเป็น 2 ส่วนคือ Core Portfolio พอร์ตลงทุนหลัก สำหรับเงินลงทุนส่วนใหญ่ และ Opportunistic Portfolio พอร์ตลงทุนส่วนเสริม สำหรับเงินลงทุนในสัดส่วนที่น้อยกว่า เพื่อหาโอกาสส่วนเพิ่มจากการลงทุน โดยสำหรับนักลงทุนที่สามารถยอมรับความเสี่ยงได้ในระดับปานกลางถึงค่อนข้างสูง อาจจัดสรรสัดส่วนใน Core Portfolio 80% และ Opportunistic Portfolio 20%
สำหรับ Core Portfolio แนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นถึงกลาง เนื่องจากมีโอกาสคาดหวังผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาได้จากอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลง สำหรับตลาดหุ้น แนะนำลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งมีแนวโน้มได้รับอานิสงค์จากข้อตกลงทางการค้าที่หลายประเทศให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีนำเข้าในระดับ 0% อีกทั้งมีแนวโน้มลดดุลการค้าด้วยการนำเข้าสินค้าและลงทุนในสหรัฐฯมากขึ้น และกระจายการลงทุนไปยัง ทองคำ เพื่อช่วยลดความเสี่ยง และ สินทรัพย์ทางเลือกที่มีความสัมพันธ์ต่ำกับตลาดหลัก เช่น กองทุนรวมแบบ Multi-strategy ซึ่งบริหารจัดการโดยใช้กลยุทธ์การลงทุนผสมผสาน ช่วยลดความผันผวนของพอร์ตโดยรวม
ส่วน Opportunistic Portfolio แนะนำให้ลงทุนบนธีมแรงขับเคลื่อนขนาดใหญ่ (mega force) เช่น เทคโนโลยี AI ซึ่งยังคงเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยจะเห็นได้ว่าบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ มีการรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 2 ส่วนใหญ่ที่ดีกว่าคาดและยังประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงานในระยะถัดไปว่ายังคงเป็นบวก ขณะที่กระแสเงินลงทุนในด้าน AI ก็มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจในระยะถัดไป
หมายเหตุ: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง รวมถึงควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนตัดสินใจลงทุน