ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics มองสัญญาณการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวไทย สะท้อนถึงการอิ่มตัวจากแรงดึงดูดของแหล่งท่องเที่ยวลดลง สาเหตุมาจากที่เที่ยวเดิมขาดการต่อยอด และขาดแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ทำให้ความประทับใจในการท่องเที่ยวลดน้อยลง และลดทอนการท่องเที่ยวซ้ำ ซึ่งปัญหานี้เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เคยเดินทางมาก่อนหน้า ดังนั้น สถานที่ท่องเที่ยวในไทยควรต้องพัฒนาเพื่อยกระดับเพื่อรักษา Momentum ของนักท่องเที่ยวไทยไว้ และช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้กลับมาอีกครั้ง
การท่องเที่ยวภายในประเทศเป็นกิจกรรมสำคัญที่สร้างเม็ดเงินทางเศรษฐกิจของไทย และยังเป็นช่องทางสำคัญของการส่งผ่านเม็ดเงินให้เกิดการหมุนเวียนในพื้นที่ต่าง ๆ หลายพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลที่ปกติการหมุนเวียนของเม็ดเงินทางเศรษฐกิจค่อนข้างต่ำ เป็นการเปิดโอกาสในการสร้างธุรกิจอันเป็นแหล่งงานตามแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อเป็นรากฐานการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยตามข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พบว่า เม็ดเงินรายได้จากการท่องเที่ยวในปี 2567 สูงถึง 2.9 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะการท่องเที่ยวในประเทศที่ยังมีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่อง
โดย ttb analytics ประเมินรายได้ท่องเที่ยวของคนไทยในปี 2568 ยังสามารถสร้างประวัติศาสตร์เป็นปีที่ 3 ติดต่อกันในมิติด้านจำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะสูงถึง 284 ล้านคนต่อครั้ง ซึ่งแม้ยังอยู่ภายใต้บริบท “เที่ยวใกล้ ไปกลับ กระชับเส้นทาง” ส่งผลให้รายจ่ายต่อทริปลดลงแต่ด้วยการชดเชยของมิติจำนวนนักท่องเที่ยวในประเทศสามารถสร้างมูลค่าเกินกว่า 1.20 ล้านล้านบาท
การท่องเที่ยวในประเทศของนักท่องเที่ยวไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานับเป็นยุคทองของการท่องเที่ยว จากอานิสงส์ของโครงสร้างอายุของประชากรวัยท่องเที่ยว (25 ปี – 65 ปี) ที่นับว่ายังสามารถส่งผลบวกให้กับภาคการท่องเที่ยวในประเทศได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตาม สัญญาณการท่องเที่ยวที่เคยเป็นจุดหนุนทั้งในรูปแบบ 1) กลุ่มเมืองท่องเที่ยวหลักในแต่ละภูมิภาคที่ปกติมีนักท่องเที่ยวเกินกว่า 4 ล้านคน / ครั้ง / ต่อปี เช่น จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปี 2566 เติบโตดีที่ 15.3% แต่เริ่มชะลอในปี 2567 ที่ 6.2% และปี 2568 การเติบโตของนักท่องเที่ยวกลับเหลือเพียง 0.4% หรือเมืองหลักในภูมิภาคอื่น ๆ อาทิ สงขลาเติบโต 59.1% ในปี 2566 และเริ่มชะลอลง 12.2% และ 6.3% ในปี 2567 และ 2568 ตามลำดับ 2) กลุ่มเมืองรองที่มีศักยภาพสูงเพียงพอดึงดูดให้พักค้างแรม เช่น จังหวัดจันทบุรี ปี 2566 เติบโตถึง 206.8% และค่อย ๆ ชะลอลงเหลือ 5.5% ในปี 2567 จนปี 2568 หดตัวลง -8.2% หรือจังหวัดสมุทรสงครามเติบโต 55.6% ในปี 2566 แต่กลับหดตัวลงต่อเนื่อง -3.0% และ -17.0% ในปี 2567 และ 2568 ตามลำดับ 3) เมืองรองกลุ่มไปเช้า-เย็นกลับอาทิ จังหวัดฉะเชิงเทรา ในปี 2566 เติบโต 25.2% ในปี 2567 เริ่มชะลอตัวลงเหลือ 11.8% และปัจจุบันเหลือ 6.8% หรือกลุ่มจังหวัดที่พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวในภูมิภาค เช่น จังหวัดตรังที่ในปี 2566 เติบโต 51.5% แต่ค่อย ๆ ชะลอลงเหลือ 22.8% และ 5.1% ในปี 2567 และ 2568 ตามลำดับ และ 4) การท่องเที่ยวในรูปแบบกลุ่มจังหวัดที่มีเขตพื้นที่ติดต่อกันเสริมศักยภาพการท่องเที่ยวซึ่งกันและกัน เช่น นครพนม-สกลนคร ปี 2566 เติบโต 29.0% และเริ่มชะลอตัวลงในปี 2567 และ 2568 ที่เติบโต 9.4% และ 7.2% ตามลำดับ
ในมุมมองของ ttb analytics ปัจจัยที่สำคัญต่อการชะลอตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวไทยดังกล่าว ส่วนหนึ่งมาจากภาวะอิ่มตัวของแหล่งท่องเที่ยวเดิม ที่เริ่มสูญเสียแรงดึงดูดเมื่อไม่มีการพัฒนาเพิ่มเติม ประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ซ้ำซากทำให้ความพึงพอใจลดลง และลดโอกาสในการกลับมาเยือนซ้ำ สะท้อนได้จากในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีต้นทุนการเดินทางสูงและมีทางเลือกที่หลากหลายในตลาดโลก หากไทยยังคงพึ่งพาแหล่งท่องเที่ยวเดิมโดยไม่ต่อยอดหรือยกระดับประสบการณ์ใหม่ ๆ อาจทำให้เสน่ห์ของการท่องเที่ยวไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณแล้วจากการหดตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติหลังปี 2557 (ไม่นับช่วงสถานการณ์โควิด-19) จึงสะท้อนถึงความจำเป็นในการปรับกลยุทธ์การท่องเที่ยวของคนไทย จากการใช้ทรัพยากรเดิม ไปสู่การสร้างมูลค่าใหม่ผ่านการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ยกระดับประสบการณ์ และตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ให้มากขึ้น
นอกจากนี้ปัจจัยด้านเศรษฐกิจเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการท่องเที่ยวของคนไทยในปัจจุบัน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีรายได้ครัวเรือนไม่แน่นอนแต่มีค่าครองชีพสูงขึ้น การตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวจึงถูกพิจารณาอย่างรอบคอบมากขึ้น ทั้งในด้านระยะทาง ค่าใช้จ่ายต่อทริป และความคุ้มค่าของประสบการณ์ที่ได้รับ ทำให้คนไทยเลือกท่องเที่ยวแบบใกล้บ้าน ไปเช้า–เย็นกลับ หรือเลือกเมืองรองที่มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าเมืองหลัก ซึ่งแม้จะช่วยกระจายรายได้ในพื้นที่ต่าง ๆ แต่ก็สะท้อนถึงข้อจำกัดที่มากขึ้นสำหรับการเติบโตของภาพรวมการท่องเที่ยวของคนไทย
จากปัจจัยดังกล่าว ทาง ttb analytics มองสิ่งที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยจำเป็นต้องพัฒนาเพื่อยกระดับทั้งในด้านการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่และการฟื้นกำลังซื้อในการท่องเที่ยว ได้แก่
(1) ยกระดับ Public Transport : หนึ่งในอุปสรรคสำคัญของการท่องเที่ยวไทยคือ “การเข้าถึง” แม้ไทยมีถนนและสนามบินเพียงพอ แต่ยังขาด Connectivity และมี Cost of Time สูง การเดินทางระยะไกลด้วยรถโดยสารใช้เวลานาน ส่วนเครื่องบินแม้เร็วแต่มีต้นทุนสูงและขั้นตอนยุ่งยาก เมื่อลงเครื่องยังต้องเดินทางต่อเพื่อเข้าเมือง ขณะที่ระบบขนส่งท้องถิ่นก็ยังไม่ครอบคลุม ทำให้นักท่องเที่ยวต้องเช่ารถ เพิ่มค่าใช้จ่ายและความยุ่งยาก ส่งผลให้ต้นทุนการท่องเที่ยวในการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวสูง (Last Mile Tourism) ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวในพื้นที่ต่าง ๆ ที่ขนส่งสาธารณะยังเข้าไม่ถึง ดังนั้น โครงการรถไฟความเร็วสูงที่กำลังก่อสร้างนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญเพื่อเข้าถึงพื้นที่หลักของแหล่งท่องเที่ยวในภูมิภาคต่าง ๆ รวมถึงภาครัฐที่ ต้องเร่งเชื่อมต่อสถานีรถไฟกับระบบขนส่งท้องถิ่น เพื่อเพิ่ม Connectivity ของระบบขนส่งเข้าด้วยกัน และช่วยลดต้นทุนในการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวไทยหันมาสนใจท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้นจากความสะดวกและต้นทุนที่ลดลง
(2)เที่ยวไทยไปได้ทุกเวลา : หากประเทศไทยต้องการยกระดับภาคการท่องเที่ยวให้เติบโตอย่างยั่งยืนและหลุดพ้นจากภาพลักษณ์ความเคยชิน การปรับภาพลักษณ์ใหม่ “All-Season Tourism” เป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยเปิดตลาดใหม่ ๆ ในช่วง Off Peak หรือสถานที่ที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา ผ่านการนำเสนอ เช่น หน้าฝน เป็น Green Season ที่เน้นกิจกรรมธรรมชาติ เช่น น้ำตก ป่าฝน และกิจกรรมแอดเวนเจอร์ ส่วนหน้าหนาวสามารถโปรโมท ดอยสูง ทะเลหมอก และเส้นทางเดินป่า เพื่อสร้างประสบการณ์ที่แตกต่าง ด้วย “การสร้างภาพจำใหม่ว่า “เที่ยวไทยได้ทุกเวลา” ที่ไม่เพียงช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนและลดความแออัดในจุดท่องเที่ยวยอดนิยม แต่ยังเพิ่มความน่าสนใจให้กับนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพที่มองหาประสบการณ์เฉพาะทาง และบริการที่ตอบโจทย์นักเดินทางยุคใหม่”
(3) สนับสนุนและลดหย่อน : มีการสนับสนุนจากภาครัฐที่จูงใจเพียงพอในการสนับสนุนท่องเที่ยวเมืองรองให้เต็มประสิทธิภาพ และให้ใช้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ได้มากขึ้น เช่น ขยายวงเงินใช้จ่ายเมืองรองให้ลดหย่อนภาษีได้ตามจริง รวมถึงการขยายไปยังกลุ่มสินค้าและบริการให้ได้รับการลดหย่อนภาษี เนื่องจากจำนวนเงินที่จำกัดดังกล่าวอาจเกิดจากการเดินทางแค่ 1 ทริป การท่องเที่ยวเมืองรองในทริปถัดไปอาจไม่จูงใจให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปเมืองรอง ส่งผลให้การตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวในครั้งถัด ๆ ไป ทำให้การท่องเที่ยวในประเทศอาจไม่ได้รับแรงจูงใจเพิ่มเติม รวมถึงโครงการคนละครึ่งที่ภาครัฐมีนโยบาย อาจนำไปปรับใช้เพิ่มเติมในภาคโรงแรมและท่องเที่ยวเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้รับบริการที่สะดวกมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ แม้ภาพรวมของนักท่องเที่ยวไทยในปัจจุบันจะสะท้อนลักษณะการฟื้นตัวแบบ K-shape ในบางพื้นที่ ที่ยังฟื้นตัวได้ดี แต่อีกหลายพื้นที่กำลังเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจ จึงควรต้องมีแรงหนุน Momentum ให้กลับมาขยายตัวได้อีกครั้ง ซึ่งอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่เปรียบว่าเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทย วันนี้ อาจเริ่มเก่าจนทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ การซ่อมบำรุงเพื่อยื้ออาการอาจช่วยยืดเวลาได้บ้าง แต่หากต้องการให้ประสิทธิภาพกลับมาเหมือนเดิม อาจถึงเวลาที่ต้อง Overhaul ใหม่ทั้งระบบ ทั้งในมิติของการเข้าถึง (Accessibility) การสร้างภาพจำใหม่ (Rebranding) และการออกแบบการท่องเที่ยวแบบ All-Season Tourism เพื่อให้เครื่องยนต์เครื่องนี้กลับมาทำงานเต็มที่ และพร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต่อไปในระยะยาว