Wellness-Centric เปิดอินไซต์อสังหาฯ ไทยก้าวสู่บทใหม่ สูตรพิมพ์เขียว #อยู่ดีมีสูตร  พบคนไทยนิยาม Wellness คือ “คุณภาพชีวิตที่ดี” เป็นปัจจัยเลือกซื้อบ้าน 

สุมิตรา วงภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทอร์ร่า มีเดีย แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด กล่าวว่า งานสัมมนา TERRAHINT BRAND SERIES เป็นงานสัมมนาใหญ่ที่เว็บไซต์ TerraBKK.com ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นเวทีแห่งการแลกเปลี่ยนมุมมอง ช่วยพัฒนาวงการอสังหาริมทรัพย์ โดยปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 8 ก้าวสู่บทใหม่ ภายใต้ TerraHint Brand Series 2025 | The Wellness Blueprint #อยู่ดีมีสูตร ที่จะยกระดับการสร้างบ้าน ไปสู่การสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับผู้คนทุกระดับ และสร้างประสบการณ์ที่มีคุณค่าเหนือกว่าแค่การอยู่อาศัย นี่คือโอกาสของวงการอสังหาริมทรัพย์ ที่จะเปลี่ยนความท้าทายทางเศรษฐกิจ

เวทีสัมมนาเปิดเวทีด้วยการบรรยาย Property Outlook 2026 โอกาสใหม่ในตลาดอสังหาฯ: วิเคราะห์แนวโน้ม ทิศทาง และปัจจัยเสี่ยง โดยทีมผู้เชี่ยวชาญจากเทอร์ร่า ก่อนต่อด้วยการบรรยายหัวข้อ “ทิศทางอสังหาฯ เพื่อการลงทุนที่น่าสนใจ” โดยคุณอรอนงค์ ชัยธง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท พรอสเพค รีท แมเนจเมนท์ จำกัด

สำหรับหัวข้อ “Thailand Opportunities and Challenges for Wellness Business” บรรยายโดย นพ.สมพร คำผง Chief Executive Officer AACI Asia-Pacific และการบรรยาย “Unlocking Customer Value chain by AI : AI กับการสร้างมูลค่าเพิ่มให้อยู่ในใจลูกค้า บรรยายโดย คุณภารุจ ดาวราย Founder บริษัท แลทเทอรอล จำกัด

ปิดท้ายด้วยไฮไลต์การเผยผลวิจัย “Consumer Insight : เข้าใจผู้บริโภคยุคใหม่ ผ่านมุมมอง Wellness-Centric เพื่อสร้างแบรนด์ที่ แข็งแกร่ง” โดย คุณสุมิตรา วงภักดี

สำหรับผลวิจัยปีนี้ มาจากผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 2,000 คน  ส่วนใหญ่ 75% อาศัยในกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยประเด็นที่น่าสนใจพบว่าคนไทย ให้คำนิยามกับคำว่า Wellness คือ “คุณภาพชีวิตที่ดี สภาพแวดล้อมที่ดี และความปลอดภัย” สอดคล้องกับปัจจัยในการมองหาบ้านที่ให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อม มักมาเป็นปัจจัยอันดับต้นๆ เสมอ แต่อย่างไรก็ตามแต่ละช่วงวัยยังมีการให้ความหมายของคำว่า “Wellness” เปลี่ยนแปลงไปตามประสบการณ์ชีวิตและความรับผิดชอบในแต่ละช่วงอายุอย่างชัดเจน

4 มนุษย์เวลเนส แบ่งตามไลฟ์สไตล์ & แนวทางการดูแลตนเอง

จากการศึกษาสามารถแบ่งพฤติกรรมผู้บริโภคกลุ่มใหม่ออกเป็น 4 กลุ่มตามแนวทางการดูแลตนเองและไลฟ์สไตล์ สะท้อนถึงความต้องการและความคาดหวังต่อที่อยู่อาศัยและบริการในปัจจุบัน ได้แก่

1.THE BALANCED SOCIALIZER (ร้อยละ 34%) กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองหาความสมดุลระหว่างสุขภาพและชีวิตสังคม แม้จะดูแลสุขภาพพื้นฐาน แต่ไม่ละเลยการสังสรรค์และสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น ชื่นชอบการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ให้ความสำคัญกับประสบการณ์และการพบปะผู้คน ที่อยู่อาศัยที่มองหาจึงต้องมีบริการที่อำนวยความสะดวกและเทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดเวลา รวมถึงบริการสุขภาพและความงาม

2.THE ASPIRING SELF-IMPROVER (ร้อยละ 34%) เป็นกลุ่มที่มีแนวทางการดูแลสุขภาพเป็นของตัวเอง เลือกทำเฉพาะกิจกรรมที่ตรงกับความสนใจจริงๆ ให้ความสำคัญกับการนอนหลับและการพักผ่อนกับธรรมชาติ แต่ไม่ต้องการกิจกรรมที่ต้องพบปะสังคม ที่อยู่อาศัยสำหรับกลุ่มนี้ต้องการบริการที่มากกว่า service ทั่วไป เช่น บริการ Room Service หรือบริการ Conceirge และบริการที่เกี่ยวกับความปลอดภัย

3.THE CASUAL EXPLORER (ร้อยละ 24%) เป็นกลุ่มครอบครัวที่สนใจสุขภาพ แต่มีอุปสรรคยังไม่สามารถดูแลตัวเองได้เต็มที่ ด้วยภาระหน้าที่การงานและครอบครัว จึงเน้นกิจกรรมที่ทำได้ง่ายๆ เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง สวดมนต์ ทำให้ต้องการบริการพื้นฐานที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย เช่น บริการรถรับ-ส่งไปโรงพยาบาล

4.THE HOLISTIC WELLNESS (ร้อยละ 14%) กลุ่มที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพอย่างรอบด้าน ทั้งกาย ใจ และสังคม มีวินัยในการนอนหลับ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และเลือกบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ ชื่นชอบการใกล้ชิดธรรมชาติ และให้ความสำคัญกับการเยียวยาจิตใจผ่านกิจกรรมกลางแจ้ง ที่อยู่อาศัยในอุดมคติจึงต้องมีพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ พร้อมบริการดูแลสุขภาพครบวงจร และระบบความปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน

จากการตีความนิยามและไลฟ์สไตล์ด้านเวลเนสที่แตกต่างกัน ผู้บริโภคจึงต้องการประสบการณ์การเยี่ยมชมโครงการไม่เหมือนกัน โดยผู้พัฒนาอสังหาฯ และนักการตลาดสามารถสร้างประสบการณ์ที่ทำให้ลูกค้าแต่ละกลุ่มรู้สึกว่าได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ตั้งแต่ก้าวแรกของการเยี่ยมชมโครงการไปจนถึงการตัดสินใจซื้อ แบ่งเป็น

-บ้านเดี่ยว – บริการระดับพรีเมียม สำหรับกลุ่มผู้ซื้อบ้านเดี่ยว ต้องการบริการเน้น “Premium & Respectful Service” โดยลูกค้ามองว่าบริการที่เหนือระดับควรจะให้ความสำคัญกับรายละเอียดทุกขั้นตอน มีความเชื่อว่า “Service quality = home quality” คุณภาพการบริการสะท้อนถึงคุณภาพของบ้าน

– ทาวน์โฮม – ความจริงใจและโปร่งใส กลุ่มผู้สนใจทาวน์โฮมต้องการ ต้องการให้เซลล์บอกข้อมูลที่สำคัญอย่างตรงไปตรงมา บอกจุดดีจุดด้อยของโครงการ “Sincerity over luxury” ความจริงใจมีค่ามากกว่าความหรูหรา

-คอนโด – ความเป็นมืออาชีพและความสะดวกสบาย เน้น “Professionalism & Convenience” ต้องการทีมขายที่มีความพร้อมให้บริการทันทีเมื่อลูกค้ามาชมโครงการ แนะนำโปรโมชั่น – การผ่อนชำระ สิ่งสำคัญที่สุดคือ “Professional, no pressure” มีความเป็นมืออาชีพ ไม่เร่งการขาย ไม่กดดันให้จอง

แนวโน้มการซื้อบ้าน จากผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 2,000 คน พบว่า 41% วางแผนซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ภายใน 3 ปี ซึ่งปรับตัวขึ้นเล็กน้อยจากปี 2024 ที่มีสัดส่วน 36% และพบว่ามีแนวโน้มสนใจทาวน์โฮมเพิ่มมากขึ้นจากปีก่อน 24% เป็น 30% และสนใจบ้านเดี่ยวลดลงอย่างมากจาก 86% ในปีก่อน เหลือ 66%

สำหรับการเปลี่ยนแปลงประเภทที่อยู่อาศัยหลังเหตุแผ่นดินไหว พบว่าจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว  48% ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงประเภทที่อยู่อาศัย ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเมื่อช่วงกลางปีที่มีเพียง 12% เท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับ “แบรนด์” โดยส่วนใหญ่ยังมองว่าจะเปลี่ยนไปเลือกแบรนด์ที่มีชื่อเสียงด้านมาตรฐานความปลอดภัยสูงขึ้น

“หลังเกิดแผ่นดินไหว ความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคมองหา “โครงสร้างและคุณภาพการก่อสร้าง” เป็นปัจจัยอันดับ 1 ความต้องการขยับไปสู่บ้านแนวราบและความปลอดภัยมากขึ้น ต้องการแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือ และแบรนด์ที่สื่อสารเร็วและชัดได้รับความเชื่อใจ โดย Gen X ซึ่งเป็นกลุ่มซื้อคอนโดจะค้นคว้าเรื่องวัสดุ ผู้รับเหมา และเทคโนโลยีกันแผ่นดินไหวมากขึ้น ในขณะที่ Baby Boomers เลี่ยงอาคารสูง ต้องการวัสดุและการรับรองที่มั่นใจได้”

นอกจากนี้เมื่อมีการวิเคราะห์พฤติกรรมการเสพคอนเทนต์บนโซเชียลมีเดียของคนไทยทั้ง 4 เจเนอเรชั่น พบว่าแม้จะอยู่บนแพลตฟอร์มเดียวกัน แต่สิ่งที่แต่ละวัยติดตามและให้ความสนใจนั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน ได้แก่ Baby Boomers – Gen X เน้นหนัก “สุขภาพ” เป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งอายุมากขึ้น ความใส่ใจในเรื่องสุขภาพยิ่งเพิ่มสูงขึ้น Gen Y เป็นกลุ่มที่มีพฤติกรรมการเสพคอนเทนต์เรื่องท่องเที่ยวสูงที่สุด 51% รองลงมาคืออาหารและเครื่องดื่ม 49% ซึ่งสูงกว่าทุกเจเนอเรชั่น Gen Z ให้ความสนใจกับคอนเทนต์เรื่องสัตว์เลี้ยง 23% สูงที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น ๆ ตามมาด้วยการศึกษา 24% และเกม 15% ซึ่งทั้งสามหัวข้อนี้ Gen Z ครองอันดับหนึ่งทุกรายการด้านดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค พบว่า คนไทยมีความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทยในปี 2025 (ค่าดัชนี CCI: 66 จุด) ลดลงจากปี 2024 (ค่าดัชนี CCI: 72 จุด) และคนส่วนใหญ่ก็ยังขาดความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยในช่วง 12 เดือนข้างหน้า มองว่าในช่วงนี้ไม่ใช่โอกาสที่ดี ในการซื้อสินค้ามูลค่าสูง อย่างอสังหาฯ หรือรถยนต์ สวนทางกับภาพรวมดัชนีชี้วัดสุขภาวะทางใจของคนไทย Wellbeing Index  มีคะแนนร้อยละ 76.9 (ตามเกณฑ์ตัวชี้วัดจากองค์การอนามัยโลก WHO) ยังอยู่ในเกณฑ์ดี และปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงกลางปี 2025 สะท้อนทิศทางการฟื้นตัวหลังเหตุแผ่นดินไหว
อย่างไรก็ตามยังมีประเด็นสำคัญว่า “ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ” ยังคงเป็นตัวแปรที่กระทบโดยตรงต่อทั้งความเชื่อมั่นและสุขภาพจิตของคนไทย โดยพบว่ากลุ่มที่มีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจอยู่ในระดับต่ำ มักมีระดับความสุขทางใจลดลงตามไปด้วย ซึ่งสะท้อนถึงความเปราะบางทางจิตใจของผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจผันผวนในปัจจุบัน

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles