นายพูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กล่าวว่า แนวโน้มค่าไฟงวดมกราคม – เมษายน 2569 นั้น จะพยายามรักษาเสถียรภาพของราคาค่าไฟฟ้าให้อยู่ในระดับคงที่ แม้ในช่วงปลายปีตลาดโลกจะมีความต้องการซื้อ-ขายพลังงาน และมีความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติสูงส่งผลทำให้ระดับราคาก๊าซธรรมชาติสูงขึ้น
อย่างไรก็ดีพบว่าซัพพลายก๊าซธรรมชาติค่อนข้างมาก ทำให้ราคาไม่ขยับมาก ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อการพิจารณาปรับอัตราค่าไฟฟ้าในรอบถัดไป
โดยปัจจุบันสำนักงาน กกพ. อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูลประกอบการพิจารณาค่าไฟฟ้าในรอบถัดไป โดยในช่วงเดือนตุลาคมนี้ โดยจะเริ่มเรียกข้อมูลจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่แบกรับต้นทุนก๊าซประมาณ 15,000 ล้านบาท รวมถึงต้องพิจารณาความเป็นไปได้ในการบริหารหนี้ของ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่ยังมีหนี้สะสมในรอบที่ผ่านมาราว 66,000 ล้านบาท ซึ่งหากมีการยืดหนี้ออกไปอาจส่งผลต่อดอกเบี้ยและกลายเป็นต้นทุนค่าไฟฟ้าในงวดถัดไป รวมถึงข้อมูลทิศทางราคาเชื้อเพลิงและต้นทุนการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาค่าไฟสำหรับงวดเดือน มกราคม–เมษายน 2569
ส่วนเงินส่วนเกินที่สามารถเรียกคืนได้จาก กฟผ. รวมกับของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) มีรวมกันกว่า 7,900 ล้านบาท ได้มีการนำไปใช้แล้วบางส่วนในรอบปัจจุบัน (กันยายน – ธันวาคม 2568) ราว 2,640 ล้านบาท ทำให้มียอดเงินคงเหลือประมาณ 5,287 ล้านบาท ซึ่งการนำเงิน Claw back มาใช้ต้องพิจารณาตามเงื่อนไขในกรณีที่ประเทศเผชิญภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจในวงกว้าง หรือ ค่า Ft มีการปรับตัวขึ้นหรือลงในระดับที่กระทบต่อประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ
