สภาทองคำโลก หรือ WGC เปิดเผยว่าความต้องการในการลงทุนกองทุนหน่วยลงทุนทองคำ หรือโกลด์อีทีเอฟของจีนในช่วง 11 วันแรกของเดือนเมษายนเพิ่มสูงขึ้นถึง 29.1 ตัน ส่งผลให้เป็นการลงทุนในกองทุนดังกล่าวพุ่งขึ้นอย่างมากและรวดเร็ว ทำให้มีปริมาณลงทุนสะสมในกองทุนดังกล่าวมีมากกว่าทั้งไตรมาสที่ 1 ของปีนี้นี้ที่จำนวน 23.5 ตัน ที่สำคัญ ยังมากกว่ากองทุนโกลด์อีทีเอฟของสหรัฐอีกด้วย เนื่องจากในไตรมาสที่ 1 ปีนี้ กองทุนหน่วยลงทุนทองคำ หรือโกลด์อีทีเอฟของสหรัฐมีการลงทุนเพิ่มขึ้น 27.8 ตัน ซึ่งห่างจากกองทุนดังกล่าวของจีนอย่างมาก
นายจอห์น รีดเด นักกลยุทธ์อาวุโส สภาทองคำโลก หรือ WGC เปิดเผยว่า ถ้าหากในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ ได้รับอิทธิพลและปัจจัยบวกจากการลงทุนมาจากสงครามภาษีนำเข้าของสหรัฐ และการลงทุนในกองทุนหน่วยลงทุนทองคำ หรือโกลด์อีทีเอฟของนักลงทุนจากโลกตะวันตกอย่างต่อเนื่อง ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ มีความเป็นไปได้สูงมากที่ความสนใจในการลงทุนกองทุนโกลด์อีทีเอฟของนักลงทุนจีนจะเพิ่มสูงต่อเนื่อง
ปัจจัยบวกที่ทำให้เกิดการลงทุนในกองทุนโกลด์อีทีเอฟเป็นจำนวนมากและต่อเนื่องเป็นผลมาจากราคาทองคำในตลาดโลกที่พุ่งสูงขึ้น และทำสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์อย่างต่อเนื่องถึง 22 ครั้ง โดยเมื่อวันจันทร์ที่ 14 เมษายนที่ผ่านมา พบว่าราคาทองคำส่งมอบทันทีหรือ Spot ในตลาดโลกพุ่งขึ้นแตะปิดสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ที่ระดับ 3,245.42 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทำให้ราคาทองคำตั้งแต่ต้นปีจนถึงเมื่อวันจันทร์ที่ 14 เมษายนผ่านไป พุ่งทะยานสูงถึง 22% ในขณะที่ผลตอบแทนจากการลงทุนทองคำตลอดทั้งปี 2024 ที่ผ่านไปอยู่ที่ 27% ทำสถิติเป็นราคาทองคำรายปีที่ดีที่สุดในรอบ 27 ปี ตื่นมาตั้งแต่ปี 1998 เป็นต้นมา
ทั้งนี้ หน่วยลงทุนทองคำ หรือโกลด์อีทีเอฟทั่วโลก ซึ่งเป็นการลงทุนที่จะต้องมีทองคำแท่งมาเป็นสินทรัพย์ประกันในการลงทุนนั้น พบว่าในไตรมาสที่หนึ่งของปี 2025 นี้มีปริมาณสูงสุดในรอบ 3 ปีผ่านมา หรือตั้งแต่ปี 2022