นายสวภพ ยนต์ศรี Senior Wealth Manager บลจ.ทิสโก้ ระบุว่า หลังจากประธานาธิบดี Joe Biden ประกาศถอนตัวจากการเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตในการลงสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ คนที่จะมารับหน้าที่แทนก็คือรองประธานาธิบดี Kamala Harris โดยในช่วงแรกของการก้าวขึ้นมารับบทบาทสำคัญของเธอหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าการดำเนินนโยบายต่าง ๆ น่าจะไม่มีความแตกต่างจาก ประธานาธิบดี Joe Biden มากนัก แต่แน่นอนว่าหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายใหม่ ๆ โอกาสที่อดีตประธานาธิบดี Donald Trump จะยังเป็นฝ่ายได้เปรียบเหมือนกับช่วงที่คู่แข่งขันยังคงเป็นประธานาธิบดี Biden นั้น มีสูง
โดยหนึ่งในนโยบายหาเสียงของ Trump ที่เรียกเสียงฮือฮา และคาดว่าจะสามารถดึงดูดผู้มิสิทธิ์เลือกตั้งที่มีอายุไม่มากนักได้ คือนโยบายการสนับสนุน Cryptocurrency ที่ Trump ได้ขึ้นไปประกาศในงาน Bitcoin 2024 Conference ที่ Nashville, Tennessee ว่าหากตัวเค้าชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้หนึ่งในสิ่งแรก ๆ ที่จะทำก็คือการปลด Gary Gensler ประธาน กลต.สหรัฐฯ ซึ่งมีแนวคิดที่ต่อต้านการลงทุนใน Cryptocurrency มาโดยตลอด และจะสนับสนุนการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ Cryptocurrency ในสหรัฐฯ พร้อมกับผลักดันให้สหรัฐฯ กลายมาเป็นเมืองหลวงของวงการ Cryptocurrency รวมถึง ให้คำมั่นว่าจะจัดตั้งกองทุนสำรองของรัฐบาลในรูปแบบ Bitcoin ขึ้น โดยในงานดังกล่าว Trump สามารถระดมทุนในการหาเสียงได้สูงถึงมากกว่า 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
และแน่นอนว่าพรรคเดโมแครตน่าจะไม่ยอมให้คะแนนเสียงของกลุ่มผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่ลงทุนใน Cryptocurrency ไหลไปอยู่กับ Trump แต่เพียงฝ่ายเดียว โดยมีรายงานข่าวว่ากลุ่มผู้สนับสนุน Kamala Harris ได้สร้างแคมเปญ “Crypto for Harris” เพื่อผลักดันนโยบายด้าน Cryptocurrency หาก Kamala Harris ชนะการเลือกตั้ง โดยวางแผนที่จะจัดกิจกรรมหลายอย่าง อาทิ การจัดการประชุมออนไลน์ โดยรายชื่อผู้เข้าร่วมกิจกรรมมีบุคคลที่มีชื่อเสียงหลายราย อาทิ Mark Cuban นักธุรกิจมหาเศรษฐีที่สนับสนุน Cryptocurrency และมีแนวคิดทางการเมืองเป็นฝ่ายซ้าย รวมถึงหลายคนที่เป็นสมาชิกพรรคเดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎร โดย Wiley Nickel สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากรัฐนอร์ทแคโรไลนาของพรรคเดโมแครตหนึ่งในผู้สร้างแคมเปญ “Crypto for Harris” ระบุว่า “เราจะไม่ยอมให้ Trump เป็นฝ่ายชนะในประเด็นนี้ เราต้องการส่งเสริมนวัตกรรมและปกป้องผู้บริโภค รวมถึงการปล่อยให้ Cryptocurrency กลายเป็นประเด็นทางการเมืองนั้นจะทำให้สหรัฐฯ ล้าหลัง”
ถึงแม้ Kamala Harris จะยังไม่ได้ออกมาประกาศสนับสนุนวงการ Crypto อย่างชัดเจนเช่นเดียวกับ Trump แต่ช่วงที่ผ่านมามีรายงานข่าวว่า Harris ได้เพิ่มที่ปรึกษาด้าน Crypto ถึง 2 คนเข้าสู่แคมเปญการหาเสียงเลือกตั้งของเธอ ประกอบไปด้วย David Plouffe ซึ่งเคยเป็นสมาชิกบอร์ดที่ปรึกษาของ Binance และ Gene Sperling อดีตสมาชิกบอร์ดของบริษัท Ripple โดยฝ่ายที่สนับสนุน Harris ได้ออกมาให้ความเห็นว่า “การนำผู้เชี่ยวชาญด้าน Crypto อย่าง Plouffe และ Sperling เข้าสู่แคมเปญของเธอเป็นการแสดงออกที่ทรงพลังมากกว่าการแค่ขึ้นเวทีที่งานประชุม Bitcoin และอ้อนวอนขอคะแนนเสียง”
โดยการแสดงออกของทั้ง Trump และ Harris แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าทั้ง 2 ฝ่ายต้องการได้คะแนนเสียงจากกลุ่มที่มีแนวคิดสนับสนุนวงการ Crypto ซึ่งจากรายงานของ Fed ระบุว่าในปี 2023 คาดว่ามีชาวอเมริกันราว 18 ล้านคนที่มีการลงทุนใน Crypto ในขณะที่บทวิเคราะห์จากบางสถาบันที่อยู่ในวงการ Crypto เอง คาดการณ์ตัวเลขชาวอเมริกันที่ถือครอง Crypto ว่ามีสูงถึงราว 40-50 ล้านคน เลยทีเดียว
อย่างไรก็ดี นโยบายต่าง ๆ ที่ใช้ในการหาเสียงของผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งก็ไม่แน่ว่าจะสามารถนำมาใช้ได้อย่างแน่นอน 100% และหนึ่งในแนวคิดหลักและแรกเริ่มของการกำเนิด Crypto ก็คือการกระจายอำนาจจากศูนย์กลาง ซึ่งหากรัฐบาลสหรัฐฯ หันมาสนับสนุนวงการ Crypto จริง ๆ ก็ต้องรอดูผลกระทบว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับวงการ Crypto บ้างหลังจากนั้น
ด้านโลกการลงทุนที่พยายามจะค้นหาว่าสินทรัพย์ไหนจะได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์หากผู้สมัครคนไหนได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในครั้งนี้ ซึ่งไม่แน่ว่า Cryptocurrency อาจจะกลายมาเป็นสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้งก็ตาม โดยเฉพาะหาก Kamala Harris ประกาศอย่างชัดเจนเช่นเดียวกับ Trump ว่าจะมีนโยบายสนับสนุนวงการ Crypto
แต่สุดท้ายแล้วสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดและเป็นสิ่งที่นักลงทุนจะต้องไม่ลืมเด็ดขาด คือไม่ว่าใครจะก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ หรือว่าจะมีนโยบายใดที่เกี่ยวข้องกับวงการ Crypto ก็ตาม การเคลื่อนไหวของราคาที่มีความผันผวนอย่างมากของ Cryptocurrency จะไม่มีทางหายไป