ดร.พิพัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ และหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร โพสต์บทความเกี่ยวกับภาษีรายได้ติดลบ หรือ Negative Income Tax มีดังนี้
ไอเดียน่าสนใจ…แต่ต้องแก้ปัญหา “คนอยากจน” ช่วงนี้ไอเดีย negative income tax เริ่มกลับมาพูดคุยกันอีกครั้ง หลังจากที่กระทรวงการคลังบอกว่ากำลังเตรียมความพร้อมและพิจารณาจะนำมาใช้ในปี 2570 ที่ทุกคนต้องยื่นแบบเสียภาษี เลยน่าชวนคุยว่าไอเดียนี้คืออะไร และมีข้อดีข้อเสียอย่างไร
ลองจินตนาการว่ารัฐมีวิธีช่วยคนที่ลำบากได้อย่างแม่นยำ ไม่ต้องมาตั้งสมมุติฐานว่า “ชาวนาทุกคนยากจน” หรือ “คนแก่ทุกคนไม่มีเงิน” เพราะความจริงแล้วในทุกกลุ่มอาชีพและทุกช่วงวัย ย่อมมีทั้งคนที่อยู่สบายและคนที่ลำบากปะปนกันไป บางคนก็ได้สวัสดิการซ้ำซ้อน ทั้งที่ไม่มีความจำเป็น เพราะรัฐมีเงินจำกัด ถ้าเราหาคนเดือดร้อนจริงๆได้ เราน่าจะสามารถลดเงินอุดหนุนที่ไม่จำเป็นเอามาเพิ่มสวัสดิการให้กับคนที่จำเป็นจริงๆได้เพิ่มขึ้นอีก
นี่คือหัวใจของแนวคิด Negative Income Tax (NIT) — ระบบภาษีที่รวมการเก็บภาษีและการจ่ายสวัสดิการไว้ในกลไกเดียวกัน โดยวัดจาก รายได้จริง ของแต่ละคนเป็นหลัก ถ้ารายได้สูงก็จ่ายภาษีมากขึ้น ถ้ารายได้ต่ำก็ไม่ต้องเสียภาษี แต่จะได้รับเงินอุดหนุนกลับไปแทน
แนวคิดนี้ต่างจากการแจกเงินแบบเดิมที่ใช้ป้ายกำกับอาชีพหรือสถานะ เช่น “เกษตรกร” หรือ “ผู้สูงอายุ” เป็นตัวตัดสิน เพราะเราไม่อาจรู้ได้จากป้ายเหล่านี้ว่าใครลำบากจริง NIT มองข้ามฉลากเหล่านั้นไปเลย แล้วมุ่งดูสิ่งที่บอกสถานะทางเศรษฐกิจได้ชัดที่สุด คือ รายได้ของคุณ
หลักการทำงาน: รัฐกำหนดเส้นรายได้ เช่น 100,000 บาทต่อปี ถ้ารายได้มากกว่านี้ คุณต้องจ่ายภาษีตามปกติ
ถ้ารายได้น้อยกว่านี้ คุณจะได้รับเงินอุดหนุน พอยื่นภาษี รัฐตรวจรายได้ ก็รู้ว่าคุณต้อง “จ่าย” หรือ “รับ” เท่าไหร่ ไม่ต้องวิ่งสมัครโครงการหลายอย่างให้เสียเวลา
ตัวอย่างจากต่างประเทศ: สหรัฐอเมริกา มีระบบ Earned Income Tax Credit (EITC): คนทำงานรายได้น้อยสามารถขอเครดิตภาษีได้ และบางครั้งเครดิตนี้มากกว่าภาษีที่ต้องจ่าย ทำให้ได้เงินโอนกลับเข้าบัญชี หลายครอบครัวรอฤดูกาลยื่นภาษีเพราะนั่นคือช่วงที่ได้เงินก้อนมาใช้จ่ายจำเป็น
แคนาดา – Canada Workers Benefit / Guaranteed Income Supplement: เสริมรายได้ให้แรงงานรายได้น้อยและผู้สูงอายุที่มีรายได้ต่ำ โดยอิงข้อมูลรายได้จากการยื่นภาษี สหราชอาณาจักร – Universal Credit: รวมสวัสดิการหลายอย่างไว้ในระบบเดียว ลดการซ้ำซ้อนของโครงการ และปรับตามรายได้จริง
นิวซีแลนด์ – Working for Families Tax Credits: อิงรายได้รวมครัวเรือน เพื่อให้เงินช่วยเหลือตรงกับผู้ที่ต้องการจริง ฟินแลนด์ และ เนเธอร์แลนด์: ทดลองใช้รูปแบบคล้าย NIT กับกลุ่มคนว่างงานหรือรายได้น้อย เพื่อเก็บข้อมูลออกแบบนโยบายถาวรในอนาคต
แม้แต่ละประเทศมีระบบในรูปแบบที่ต่างกันไป แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ ทุกประเทศต้องมีฐานข้อมูลรายได้ที่แม่นยำ และประชาชนส่วนใหญ่มีรายได้ในระบบ เช่น ผ่านบัญชีธนาคารหรือการโอนเงินเดือน
ข้อดีของ NIT เมื่อเทียบกับระบบอุดหนุนอื่น คือ ไม่สร้างแรงจูงใจที่ผิด ที่ทำให้คนหลีกเลี่ยงการทำงานเพื่อให้ยัง “จน” อยู่ เพราะ การอุดหนุนจะ “ลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป” เมื่อรายได้เพิ่มขึ้น ไม่ใช่หายวับทันที ทำให้ไม่มี “แรงจูงใจเชิงลบ” ที่คนจะเลี่ยงงานเพื่อไม่ให้เสียสิทธิ
รายได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยก็ยังคุ้ม เพราะถึงแม้อุดหนุนจะลด แต่รายได้รวมหลังหักก็ยังสูงขึ้นอยู่ดี นอกจากนี้ เป็นระบบที่เชื่อมโยงโดยตรงกับภาษีรายได้ ทำให้โปร่งใสและตรวจสอบได้ง่ายกว่าสวัสดิการแบบแจกตรง
หากทำได้จริง รัฐจะเข้าใจประชาชนมากขึ้น ว่าคนเดือดร้อนคือใคร อยู่ที่ไหน
นึกภาพตอนเกิด covid เราอยากช่วยคนเดือดร้อน แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะเราไม่มีข้อมูลรายได้คนมีรายได้น้อยเลย อัตราการว่างงานก็ไม่ขึ้น เพราะคนในระบบยังไม่ตกงาน ทุกคนบอกว่าเดือดร้อนหมด สุดท้าย รัฐต้องให้ทุกคน คนละนิดหน่อย แทนที่จะช่วยเหลือคนเดือดร้อนจริงๆได้เป็นกอบเป็นกำ
ความท้าทายและช่องโหว่ อย่างไรก็ดี negative income tax ยังมีปัญหาและความท้าทาย โดยเฉพาะเคสอย่างไทยที่เรามีคนอยู่นอกระบบมาก และตรวจสอบรายได้ไม่ง่ายนัก อาจทำให้เกิดปัญหา “คนอยากจน” และอาจจะทำให้ภาระของรัฐเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น
การซ่อนรายได้: ในประเทศที่ใช้เงินสดเยอะอย่างไทย คนสามารถปกปิดรายได้ได้ง่าย จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิด “คนอยากจน” — คนที่สร้างภาพตัวเองให้จนเพื่อรับเงิน ทั้งที่ฐานะจริงไม่ลำบาก
ระบบข้อมูลรายได้ที่แม่นยำ: NIT จะทำงานได้ดีเมื่อรายได้และธุรกรรมส่วนใหญ่ไหลผ่านระบบ เช่น ผ่านบัญชีธนาคารหรือระบบภาษี การลดธุรกรรมเงินสดน่าจะช่วยแก้ปัญหาได้เยอะ
แรงจูงใจดึงคนเข้าระบบ: รัฐสามารถใช้ “ไม้นวม” เช่น สิทธิ์กู้ดอกเบี้ยต่ำหรือสิทธิ์สวัสดิการเสริมเฉพาะคนในระบบ หรือระบบหวยใบกำกับภาษี ควบคู่กับ “ไม้แข็ง” เช่น การสุ่มตรวจภาษีและมีบทลงโทษจริงจัง
ผลต่อแรงจูงใจทำงาน: ถ้าออกแบบให้เงินอุดหนุนสูงเกินไปจนเมื่อรวมกับรายได้แล้วเพียงพอต่อการดำรงชีพ อาจทำให้บางคนทำงานน้อยลง หรือหยุดรายได้ไว้ในช่วงที่ยังได้สิทธิ์เต็ม
สรุป Negative Income Tax เป็นแนวคิดที่น่าสนใจ ถ้าทำได้จริงจะสามารถทำให้การอุดหนุนของรัฐแม่นยำและลดการรั่วไหลได้ แต่ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับสูตรคำนวณเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การปิดช่องโหว่ของการปกปิดรายได้ การสร้างแรงจูงใจให้คนเข้าสู่ระบบ และการสื่อสารให้ประชาชนเชื่อมั่นว่ารัฐต้องการจะช่วยเหลือคนที่ลำบากจริงๆ ไม่ใช่เพียงคนที่แกล้งทำเป็น “อยากจน” การพัฒนาเรื่องระบบที่ใช้ง่าย ไม่สร้างต้นทุนและภาระมากเกินไป ตรวจสอบได้ มีแรงจูงใจที่ถูกต้อง และระบบข้อมูล จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่จะทำให้ระบบนี้ทำงานได้