รัฐบาลประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า การสำรวจข้อมูลที่อยู่อาศัยทั่วประเทศญี่ปุ่นพบว่า บ้านที่ไม่มีคนอยู่อาศัย หรือบ้านร้างมีอยู่ประมาณ 8.5 ล้านหลัง หรือคิดเป็น 14% ของที่อยู่อาศัยทั้งหมดทั่วประเทศ ที่สำคัญ คาดการณ์ว่าภายในปี 2576 หรือในอีก 10 ปีข้างหน้า บ้านร้างทั่วประเทศญี่ปุ่นอาจมีเพิ่มสูงเกิน 30% ของจำนวนบ้านทั้งหมดในประเทศญี่ปุ่น
สาเหตุที่ทำให้จำนวนบ้านร้างเพิ่มมากขึ้น เป็นผลจากทัศนคติของชาวญี่ปุ่นชอบซื้อบ้านที่อยู่อาศัยหลังใหม่ โดยเฉพาะที่เพิ่งสร้างเสร็จ นอกจากนี้ คนญี่ปุ่นไม่ชอบการปรับปรุงบ้านเดิมให้กลายเป็นบ้านใหม่ ขณะที่ ปัญหาด้านความแข็งแรงของโครงสร้างยังเป็นเรื่องที่น่ากังวล เนื่องจากบ้านร้างส่วนใหญ่จำนวนมากสร้างขึ้นมาก่อนการมีกฎหมายมาตรฐานอาคาร ซึ่งบังคับให้โครงสร้างต้องต้านทานแผ่นดินไหวเมื่อ ปี 1981 ญาติของเจ้าของบ้านบางคนไม่อยากรับมรดกบ้านจากบรรพบุรุษ เพราะเป็นภาระด้านค่าใช้จ่าย เช่น การเสียภาษี ค่าใช้จ่ายการปรับปรุงและบำรุงรักษาบ้านตลอดเวลา
ปัจจัยต่อมา คือผู้คนชาวญี่ปุ่นในชนบทล้วนย้ายถิ่นฐานเข้าไปอาศัย และทำงานในเมืองใหญ่มาเป็นเวลาหลายทศวรรษ จำนวนประชากรญี่ปุ่นมีทิศทางลดลงเรื่อย ๆ อย่างชัดเจน อัตราการเจริญพันธุ์ของประชากรชาวญี่ปุ่นลดลงเหลือเพียง 1.26 คนต่อผู้หญิง 1 คน ที่สำคัญจำนวนประชากรชาวญี่ปุ่นเสียชีวิตสูงกว่าจำนวนเด็กแรกเกิดในญี่ปุ่น
นอกจากนี้ คนหนุ่มสาวชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่มีทัศนคติที่ไม่ต้องการอาศัยอยู่ในชนบท สาเหตุจากไม่มีงาน หรืออาชีพให้ทำอย่างหลากหลาย และบ้านร้างในญี่ปุ่นจะมีจำนวนหลายหลังที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ทำให้ไม่มีใครอยากอยู่บ้านที่มองไปยังไงก็เจอแต่บ้านร้างหลายหลัง
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ บริษัทอากิยะ แอนด์ อานากะ นายปาร์กเกอร์ อัลเลน ซึ่งเป็นธุรกิจจัดหาที่อยู่อาศัยร้างให้กับชาวต่างชาติ เปิดเผยว่า ชาวต่างชาติมีแนวโน้มซื้อบ้านร้างในญี่ปุ่นมากขึ้น เช่น คนแคนนาเดียนจากประเทศแคนาดา สนใจที่จะซื้อบ้านร้างในญี่ปุ่น โดยเมื่อปีผ่านมา สามารถขายบ้านร้างจังหวัดนากาโนะ มี 5 ห้องนอน ในราคา 23,600 ดอลลาร์สหรัฐ หรือตกหลังละ 850,000 บาท เช่นเดียวกันกับราคาบ้านร้างบางหลังในจังหวัดอิบารากิ มีชาวต่างชาติเป็นชาวอังกฤษ ซื้อไปในราคา 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1,080,000 บาท ซึ่งประหยัดอย่างมากมายถ้าต้องการซื้อบ้านในกรุงลอนดอน อังกฤษ
