นายชนาธิป ล.วีระพรรค ผู้อำนวยการสำนักงานสถานธนานุบาล กรุงเทพมหานคร หรือโรงรับจำนำ กทม. เปิดเผยว่า ราคาทองคำที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยอดรับจำนำเฉลี่ยสูงขึ้นเป็น 683 ล้านบาท จาก 533 ล้านบาทต่อเดือน โดย 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ คือตุลาคม 66 ถึงมีนาคม 67 มียอดการรับจำนำรวมกว่า 4,100 ล้านบาท สูงขึ้นกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนกว่า 28% ส่วนผู้มาจำนำอยู่ที่กว่า 211,000 ราย เพิ่มขึ้นกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนกว่า 20% โดยเฉพาะในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ส่วนใหญ่เป็นการมาเพิ่มวงเงินต้นของลูกค้าเดิมที่จำนำไว้ แทนการไถ่ถอนออกไปขายเพราะจะทำให้เสียทรัพย์ไปเลย ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำทำให้ประชาชนเลือกจำนำทองไว้อยู่และนำวงเงินไปเสริมสภาพคล่องแทน รวมไปถึงผู้จำนำรายใหม่ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มพ่อค้าแม่ค้า กับพนักงานออฟฟิศ เพราะคาดว่าราคาทองคำมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอีก โดยโรงจำนำกทม. จะเพิ่ม วงเงินจำนำให้อีก 5,000 บาทต่อทอง 1 บาท คือ จากรับจำนำบาทละ 29,000 เป็นบาทละ 34,000 บาท
ผู้อำนวยการสำนักงานสถานธนานุบาล กรุงเทพมหานคร หรือโรงรับจำนำ กทม. คาดว่าราคาทองคำจะปรับสูงขึ้นอีกแบบช้าๆ เพราะที่ผ่านมาราคาได้สูงขึ้นไปมากแล้ว เฉพาะในรอบเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้นถึง 13% ประกอบกับเฟสออกมาส่งสัญญาณว่าจะเลื่อนเวลาการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปอีกเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น
นอกจากนี้ ปัจจุบันเริ่มเห็นบรรยากาศ การเข้ามาจำนำเพื่อเสริมสภาพคล่องในช่วงเปิดเทอมเพิ่มเริ่มเห็นบรรยากาศแล้วบ้าง ซึ่งโรงรับจำนำ กทม. จัดทำโครงการลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือนักเรียน นิสิต นักศึกษา และผู้ปกครอง สำหรับใช้จ่ายในเรื่องอุปกรณ์การเรียน และค่าเทอม ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 50 สตางค์ ต่อเดือน สำหรับวงเงินจำนำตั้งแต่ 5,001-100,000 บาท โดยโครงการฯ ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2567 ถึง28 มิถุนายน 2567 ซึ่งผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการดังกล่าวต้องมีเอกสารประกอบการจำนำเพื่อขอใช้สิทธิลดอัตราดอกเบี้ย ได้แก่ สำเนาบัตรประจำตัวนักเรียน นิสิต นักศึกษา เอกสารแสดงความเป็นผู้ปกครอง เป็นต้น
ทั้งนี้ โรงรับจำนำ กทม. เตรียมวงเงินไว้ 350 ล้านบาท คาดการณ์มีผู้ใช้บริการในโครงการ 12,000 ราย โดยเป็นวงเงินที่รวมกับคาดการณ์ราคาแล้ว ทรัพย์สินที่ประชาชนนำมาจำนำอันดับหนึ่งยังคงเป็นทองคำและอัญมณี รองลงมาคือพระเลี่ยมทองคำ และเครื่องใช้ไฟฟ้า