งานสัมมนามีชื่อว่า “Cartons of Multisensory Innovation” ซึ่งจัดขึ้นในปี 2024 โดยส่วนหนึ่งมีการนำเสนอข้อมูลตลาดชานมไข่มุก หรือ Bubble Tea ในเอเชียแปซิฟิก และอาเซียนประจำปี 2024 พบว่า ตลาดชานมไข่มุกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียนมีมูลค่า 3,660 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 128,100 ล้านบาท โดยประเทศไทยมีขนาดใหญ่อันดับ 2 จาก 6 ตลาดในอาเซียน ซึ่งประกอบด้วย
อันดับ 1. อินโดนีเซียมูลค่า 1,680 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 58,800 ล้านบาท ซึ่งมีส่วนแบ่งมูลค่าถึง 46% ของทั้งหมด มากเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน
อันดับ 2. ไทย 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 26,250 ล้านบาท
อันดับ 3. เวียดนาม 362 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 12,670 ล้านบาท
อันดับ 4. มาเลเซีย 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 12,250 ล้านบาท
อันดับ 5. สิงคโปร์ 342 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 11,970 ล้านบาท
และอันดับ 6. ฟิลิปปินส์ 280 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 9,800 ล้านบาท ซึ่งเป็นเพียงตลาดเดียวที่มีมูลต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท
ด้านพฤติกรรมการดื่มชานมไข่มุก พบว่า ผู้บริโภคในอาเซียนดื่มชานมไข่มุกอย่างน้อย 3 ครั้งต่อเดือน ขณะที่ผู้บริโภคคนไทย 6 แก้วต่อเดือน ไม่เพียงคนไทยดื่มชานมไข่มุกสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอาเซียน แต่ยังเป็นประเทศที่มีการดื่มชานมไข่มุกมากที่สุดในชาติอาเซียนอีกด้วย รองลงมา ได้แก่ ฟิลิปปินส์ 5 แก้ว และที่เหลืออีก 4 ชาติ ได้แก่ มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม และอินโดนีเซีย ดื่ม 3 แก้วต่อสัปดาห์
สำหรับกลุ่มเครื่องดื่มหลากหลายรสสัมผัส หรือ Multi Sensory Beverage นั้นจะมีราคาอยู่ระหว่าง 1.80- 3.50 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 63-122.50 บาท ในขณะที่ชาพร้อมดื่มมีราคาเฉลี่ยที่ 0.65-0.95 ดออลาร์สหรัฐ หรือกว่า 22.75-33.25 บาท
ตลาดชาไข่มุกในเอเซียแฟซิฟิกเติบโตสูง
สำหรับตลาดชานมไข่มุกในภูมิภาคเอเซียแฟซิฟิกยังคงสามารถเติบโตได้อีก 7-9% ต่อปีภายในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือถึงปี 2029 สาเหตุจากการขยายตัวของร้านชาจากจีนและไต้หวัน นอกจากนี้ แบรนด์ชาชั้นนำ เช่น Gong Cha, Koi หรือ eLife เป็นต้น มีการขยายธุรกิจเติบโตขึ้น 8-10 ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มจะขยายตัวต่อไป