นายคงสิน คงคา ประธานเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ฐานข้อมูลลูกค้าที่ใช้บริการสินเชื่อจากงานมหกรรมยานยนต์ทั่วประเทศตลอดปี 2567 พบว่า คนไทยวัยเจนซี(Z) และวัยทำงาน 25-44 ปี เป็นแรงขับเคลื่อนหลักของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งในประเภทรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี (BEV) และรถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) สะท้อนการให้ความสำคัญกับสมรรถนะ ฟังก์ชันการใช้งาน และค่าใช้จ่ายระยะยาวมากกว่าชื่อเสียงของแบรนด์ โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางระยะสั้นเฉลี่ย 5-20 กิโลเมตรต่อวัน และอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานรองรับการชาร์จ EV ได้ดีกว่าพื้นที่อื่นๆ ส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนที่สูงถึง 84.7% โดย 3 แบรนด์ที่มียอดจดทะเบียนสูงสุด ได้แก่ BYD MG และ NETA ขณะที่แบรนด์จากค่ายรถอเมริกามีแนวโน้มการเติบโตลดลง
กลุ่มวัยทำงานยังถือเป็นกำลังซื้อหลักของตลาดรถจักรยานยนต์และบิ๊ก ไบค์ โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 21-40 ปี ที่มีอัตราการขอสินเชื่อบิ๊กไบค์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเมื่อพิจารณาตลาดสินเชื่อในเชิงพื้นที่พบว่าภาคตะวันออกมีอัตราการขอสินเชื่อเพิ่มขึ้น ซึ่งสวนทางกับกรุงเทพฯ ที่มีแนวโน้มลดลง
ด้านรถยนต์มือ 2 สมดุลราคา-คุณภาพ โอกาสทองของผู้บริโภค ในปี 2567-2568 ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของตลาดรถยนต์มือ 2 จากราคาที่ปรับตัวลดลง 10-30% ทำให้ผู้บริโภคกลุ่มคนไทยเจนเอ็กซ์(X) และเจนวาย(Y) ซึ่งเป็นลูกค้าหลักของตลาดสินเชื่อรถยนต์มือ 2 สามารถเข้าถึงรถยนต์ที่หลากหลายและคุ้มค่ามากขึ้น คุณภาพดีได้ง่ายกว่าเดิม
เมื่อมองถึงภาพรวมโครงสร้างตลาดรถมือ 2 เทรนด์เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง โดยรถที่เป็นตัวเลือกยอดนิยม ได้แก่ รถที่มีอายุ 3-5 ปี ครองตลาดมากที่สุดที่ 52% รองลงมาคือรถอายุไม่เกิน 3 ปี จำนวน 20% และ 6-8 ปีที่ 19% ซึ่งเป็นช่วงที่รถยนต์ยังคงมีสภาพดีและสามารถใช้งานได้อย่างคุ้มค่า ด้านประเภทพลังงาน รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปยังคงเป็นตัวเลือกหลักในตลาดรถมือ 2 ที่ 54% ตามมาด้วยกลุ่มรถไฮบริด (HEV) และปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ที่ 38% ขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี (BEV) อยู่ที่ 9%
