นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานประชุมการเตรียมตัวของภาคเอกชน และผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น หากมีการยกระดับความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานั้น ยอมรับว่ามีความเปราะบาง และต้องใช้ความระมัดระวังสูงสุด ซึ่งเหตุการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชา เริ่มส่งสัญญาณที่ควรต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
โดยการประชุมวันนี้ มีวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการสำคัญ คือ 1. ประเมินผลกระทบเชิงเศรษฐกิจอย่างรอบด้าน ทั้งจากการค้าชายแดน ที่พึ่งพาวัตถุดิบจากกัมพูชา ภาคการเงินที่มีธุรกิจและสาขาในกัมพูชา รวมถึงภาคบริการ ไม่ว่าจะเป็นสายการบิน โทรคมนาคม หรือพลังงาน และ 2. เตรียมมาตรการรองรับ โดยรัฐบาลพร้อมพิจารณาทั้งมาตรการด้านการเงิน เช่น soft loan การผ่อนปรนทางภาษี มาตรการโลจิสติกส์ เช่น การเปลี่ยนเส้นทางการขนส่งจากทางบก เป็นทางเรือ ตลอดจนการกระตุ้นเศรษฐกิจในจังหวัดชายแดน ทั้งในระยะสั้น และระยะกลาง ซึ่งได้เปิดรับฟังข้อเสนอจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคราชการ และภาคเอกชน
ส่วนในของภาคแรงงานกัมพูชาที่ทำงานอยู่ในประเทศไทยนั้น รัฐบาลไทย มีท่าทีที่ชัดเจนว่าไม่ประสงค์จะผลักดันให้แรงงานกัมพูชาต้องเดินทางกลับประเทศโดยไม่จำเป็น เพราะตระหนักดีถึงความสำคัญของแรงงานกลุ่มนี้ ต่อระบบเศรษฐกิจไทย ทั้งนี้ยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน แต่ในฐานะคลังที่กำกับดูแลเศรษฐกิจในภาพรวม เห็นว่า รัฐบาลไทยจำเป็นต้องเตรียมความพร้อม เพื่อรองรับความเป็นไปได้ต่าง ๆ โดยเฉพาะผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นได้หากสถานการณ์ยืดเยื้อ