ความไม่แน่นอนเศรษฐกิจโลกฉุดธุรกิจครอบครัวไทยร่วงเหลือต่ำกว่า 45% มียอดขายเติบโต ไม่กล้าเสี่ยงพลิกโฉมธุรกิจเต็มรูปแบบ ธุรกิจครอบครัวไทยเกิดช่องว่างใช้เอไอดันเติบโต ห่างลิบลับกับธุรกิจครอบครัวต่างชาติ

ความไม่แน่นอนเศรษฐกิจโลกฉุด ธุรกิจครอบครัว ไทยร่วงเหลือต่ำกว่า 45% มียอดขายเติบโต ไม่กล้าเสี่ยงพลิกโฉมธุรกิจเต็มรูปแบบ ธุรกิจครอบครัวไทยเกิดช่องว่างใช้เอไอดันเติบโต ห่างลิบลับกับธุรกิจครอบครัวต่างชาติ

พีดับเบิลยูซี (PwC) เปิดเผยรายงานผลสำรวจธุรกิจครอบครัวไทย พบว่า 69% ของผู้นำธุรกิจครอบครัวไทยเห็นว่าความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมาเป็นอุปสรรคสำคัญที่ต้องฝ่าฟันมากที่สุด การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมและความคาดหวังของผู้บริโภคที่มีอิทธิพลถึง 53% รวมไปถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้า หรือความไม่มั่นคงในแต่ละภูมิภาค ซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจถึง 44% การเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงและแรงกดดันจากตลาด (67%) การพัฒนาผู้นำและบุคลากรที่มีศักยภาพสูง (56%) หรือแม้แต่การรักษาสมดุลระหว่างเป้าหมายระยะสั้นกับเป้าหมายระยะยาว (42%)

3 เมกะเทรนด์ระดับโลกที่มีผลกระทบต่อธุรกิจครอบครัวไทยมากที่สุดในปีที่ผ่านมา เทรนด์แรก ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ (เช่น ภาวะเงินเฟ้อ ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน) ไทยมีสูงถึง 69% ส่วนทั่วโลกมี 58% เทรนด์ที่สอง พฤติกรรมและความคาดหวังของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ไทยมีสูงถึง 53% ส่วนทั่วโลกมี 41% และเทรนด์สุดท้าย ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (เช่น ความขัดแย้งทางการค้า เสถียรภาพของภูมิภาค) ไทยมี 44% ส่วนทั่วโลกมี 46%

ผลกระทบจากเมกะเทรนด์เหล่านี้ ยังปรากฏในข้อมูลยอดขายของปีที่ผ่านมา โดยมีธุรกิจครอบครัวไทยเพียง 44% ที่มียอดขายเติบโต ลดลงจาก 59% เมื่อสองปีก่อน ขณะเดียวกัน มีเพียง 22% ที่สามารถสร้างการเติบโตของยอดขายเป็นตัวเลขสองหลัก หลายธุรกิจได้หันมาปรับกลยุทธ์จากการมุ่งเติบโตแบบก้าวกระโดดสู่ ‘การเติบโตที่เน้นความมั่นคง’ เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม มีเพียง 11% ของธุรกิจที่กล้าทะยานสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างจริงจัง ซึ่งรวมถึงการกล้าที่จะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การบริหารแบบใหม่ ๆ เพื่อรับมือกับอนาคตที่ไม่แน่นอน ที่สำคัญ ยังไม่มีธุรกิจครอบครัวไทยรายใดกล้ากระโจนเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงในระดับพลิกโฉมอย่างเต็มรูปแบบ (ขณะที่ทั่วโลกมี 3% ที่กล้าเสี่ยง)

การตอบสนองของธุรกิจครอบครัวไทยต่อภาวะชะงักงันของตลาด หรือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในอุตสาหกรรม พบว่า มี 39% ของธุรกิจครอบครัวไทยเลือกใช้แนวทางที่ระมัดระวัง โดยเน้นที่การเปลี่ยนแปลงทีละน้อยและค่อยเป็น

ค่อยไป ขณะเดียวกันยังคงยึดมั่นกับ

รูปแบบการบริหารและกระบวนการ

ตัดสินใจที่คุ้นเคย เมื่อเทียบกับ

ค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 35%

ในปัจจุบัน เทคโนโลยี AI กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญ แต่ธุรกิจครอบครัวไทยยังคงขาดความตื่นตัว และการตระหนักรู้ต่อกระแสเมกะเทรนด์นี้ พบว่า เพียง 3% ของธุรกิจครอบครัวไทยเท่านั้น ที่ระบุว่า การได้ทดลองใช้ AI/GenAI เป็นโอกาสในการเติบโต (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 61%)

มี 36% ระบุว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญในการเติบโตของธุรกิจครอบครัว (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 65%) ถัดมามีเพียง 22%

เท่านั้นที่ลงทุนเพื่อเปลี่ยนผ่านธุรกิจไปสู่ดิจิทัลและการนำ AI มาประยุกต์ใช้ในองค์กร (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 39%) และมี 61% มีแผนที่จะยกระดับการเปลี่ยนสู่ดิจิทัลและนำเทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจครอบครัวในอีกห้าปีข้างหน้า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 78%)

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles