ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่ายอดขายค้าปลีกปี 2567 เติบโตชะลอตัวลงจากปีก่อนหรืออยู่ที่ราว 3.0% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีผ่านมา มีมูลค่าประมาณ 4.1 ล้านล้านบาท โดยยังคงมีแรงหนุนมาจากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ประกอบกับผลของราคาสินค้าบางรายการ โดยเฉพาะราคาสินค้าอาหารและของใช้ส่วนตัวที่น่าจะยังปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งจากการสำรวจผู้ประกอบการค้าปลีก พบว่า กว่า 60% ของธุรกิจมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นราคาสินค้าในอีก 3 เดือนข้างหน้า (การสำรวจ Retailer
Sentiment Index: RSI เดือนมกราคม 2567 ของสมาคมผู้ค้าปลีกไทยและธนาคารแห่งประเทศไทย)
ยอดขายค้าปลีกในไทยเติบโต แต่ผู้ผลิตสินค้าไทยต้องแข่งขันรุนแรงกับสินค้านำเข้า โดยเฉพาะจากจีนที่เข้ามาตีตลาดในไทย ซึ่งในปี 2566 ไทยนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคจากจีนมูลค่า 469,521 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.8% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีผ่านมา หรือมีสัดส่วนราว 41% ของการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งหมด
โดยสินค้าที่จีนเข้ามาตีตลาดส่วนใหญ่มีทั้งกลุ่มที่เป็นของกินและของใช้ในชีวิตประจำวัน มีดังนี้ อันดับ 1 เครื่องใช้ไฟฟ้า มีสัดส่วนมูลค่าประมาณ 43.3% ของมูลค่านำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งหมดจากจีน รองลงมา ได้แก่ อันดับ 2 ผักผลไม้สดและปรุงแต่ง 10.0% อันดับ 3 เสื้อผ้าและรองเท้า 9.3% อันดับ 4 เครื่องใช้ในบ้านและของตกแต่ง 9.1% และอันดับ 5 ของใช้ในครัวและโต๊ะอาหาร 9.0%
การเข้ามาตีตลาดของสินค้าอุปโภคบริโภคจากจีน กดดันความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตสินค้าในไทย จากการแข่งขันของจีนส่งผลให้ผู้ผลิตไทยในหมวดสินค้า เหล่านี้เผชิญกับการแข่งขันที่ลำบากขึ้น โดยจะเห็นได้จากสินค้านำเข้าจากจีนบางรายการมีราคาถูกกว่าไทย เช่น สินค้าแฟชั่น (รองเท้า กระเป๋า) และผักผลไม้สด และปรุงแต่ง เป็นต้น
นอกจากนี้ กำลังการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่ถูกสินค้าจีนเข้ามาตีตลาดมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่ไม่ใช่ของกิน (Non-food) ซึ่งอัตราการใช้กำลังการผลิตในอุตสาหกรรมสินค้าแฟชั่น (รองเท้า เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย) และเฟอร์นิเจอร์ อยู่ที่เพียง 30-45%
ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าแม้ตลาดค้าปลีกในภาพรวมจะยังเติบโต แต่การแข่งขันสูงจากสินค้านำเข้า ทำให้ผู้ผลิตสินค้าไทยจะยังอยู่ในสถานการณ์การดำเนินธุรกิจที่ยากลำบาก