สถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม (SIPRI) เปิดเผยว่า ประเทศจีนเพิ่มคลังแสงอาวุธนิวเคลียร์อย่างรวดเร็วมากกว่าประเทศอื่น ๆ ในโลก สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงมากมายของการแข่งขันอาวุธนิวเคลียร์ครั้งใหม่ที่นําโดยประเทศมหาอํานาจ ในปัจจุบันจีน ประเทศจีนมีหัวรบนิวเคลียร์อย่างน้อย 600 หัว ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณปีละ 100 หัวตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมา ท่ามกลางจํานวนหัวรบนิวเคลียร์ในประเทศอื่น ๆ ที่ยังคงที่
นายฮานส์ คริสเทนเซน ผู้ร่วมงานอาวุโสแห่งสถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม (SIPRI) กล่าวว่าการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ของจีนมีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่หลากหลายทางทหาร ความทันสมัยที่ได้เห็นอย่างมากมายในอุตสาหกรรมอาวุธนิวเคลียร์ เช่น โรงงานแปรรูป และในโรงงานจําลองที่ใช้ตรวจสอบอาวุธ เพื่อรับรองอาวุธ และอาจพัฒนาอาวุธใหม่
ประเทศจีนผลิตหัวรบนิวเคลียร์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วย่อมทําให้เกิดความไม่สบายใจกับประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยืนยันตั้งแต่การเป็นประธานาธิบดีวาระแรกด้วยการนำประเทศจีนเข้าสู่การเจรจาลดอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมานั้นมักจะเป็นการเจรจาระหว่างอเมริกาและรัสเซีย
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรายงานดังกล่าวของสถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม (SIPRI) แต่กลับเน้นว่าประเทศจีนยึดมั่นในกลยุทธ์นิวเคลียร์เพื่อการป้องกันตัวเองมาโดยตลอด รักษากองกําลังนิวเคลียร์ให้อยู่ในระดับขั้นต่ําที่จําเป็นสําหรับความมั่นคงของชาติเสมอ และไม่มีส่วนร่วมในการแข่งขันอาวุธแต่อย่างใด
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ยืนยันว่าประเทศจีนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยนโยบายที่ไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อนใคร และจะไม่ใช้ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ก็ตาม จีนสัญญาอย่างไม่มีเงื่อนไขด้วยว่าจะไม่ใช้ หรือขู่ว่าจะใช้อาวุธนิวเคลียร์กับรัฐ หรือประเทศใดก็ตามที่ไม่ใช่อาวุธนิวเคลียร์ รวมถึงจะไม่ใช้กับเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ด้วย
สถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม (SIPRI) ระบุว่าการกลับมาของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้นำสูงสุดของสหรัฐได้เพิ่มความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความมั่นคงของโลก ความกังวลเกี่ยวกับความมุ่งมั่นด้านความปลอดภัยของรัฐบาลสหรัฐที่มีต่อพันธมิตรในเอเชียได้กระตุ้นให้มีการถกเถียงกันครั้งใหม่ รวมถึงในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ว่าควรรักษาการยับยั้งนิวเคลียร์เพื่อความมั่นคงในภูมิภาคกันอย่างไร
ทั้งนี้ นายฮานส์ คริสเทนเซน ผู้ร่วมงานอาวุโสแห่งสถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม (SIPRI) กล่าวว่ายุคของการลดจํานวนอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งกินเวลาตั้งแต่สิ้นสุดสงครามเย็นกําลังจะสิ้นสุดลงในไม่ช้า แม้ว่าปี 2025 จะเป็นปีที่ 80 นับตั้งแต่การทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิม่าและนางาซากิ เริ่มเห็นแนวโน้มที่สอดคล้องกันว่าจํานวนอาวุธนิวเคลียร์สําหรับการใช้งานทางทหารเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ได้เห็นตัวชี้วัดทั้งหมดที่บอกเราว่าการแข่งขันอาวุธนิวเคลียร์ครั้งใหม่กําลังเกิดขึ้น