นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า สิ่งที่ต้องติดตาม คือ การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของไทยจากสภาพัฒน์ ในวันจันทร์ที่ 19 นี้ ซึ่งคาดว่า ในไตรมาส 4 ปี 66 มีแนวโน้มติดลบ 1% และทั้งปีอาจจะโตต่ำเพียง 1.9% ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาเศรษฐกิจไทยที่โตต่ำ และไม่ทั่วถึง ซึ่งการหดตัวไตรมาสต่อไตรมาสเพียงไตรมาสเดียว ยังไม่เรียกการถดถอยทางเทคนิก แต่ก็เปิดประตูความเสี่ยงว่า หากติดลบสองไตรมาส คือ ไตรมาสหนึ่งปีนี้หดตัวอีก ก็สะท้อนภาพการถดถอยทางเทคนิก และสะท้อนความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ ที่หากปล่อยไว้นานและไม่แก้ไข เศรษฐกิจไทยจะไม่เป็นที่น่าสนใจ ขาดการลงทุน และรายได้คนไทยจะซึมๆ แบบนี้ ไม่สามารถหลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลางได้ ส่วนเรื่องเงินดิจิทัล ถ้ายังไม่รู้ว่าจะออกมาเมื่อใด ระหว่างนี้รัฐบาลน่าจะหามาตรการดูแลคนมีรายได้น้อย โดยเฉพาะภาคเกษตรและSMEในต่างจังหวัด เพราะกลุ่มนี้น่าห่วงมากที่สุด
ขณะที่นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บสย. กล่าวว่า ทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ มีแรงขับเคลื่อนจาก 3 กลุ่มหลัก คือ ภาคบริการ การท่องเที่ยว และเกษตรกรรม ซึ่งหากรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้น จะทำให้เศรษฐกิจโดยรวมขยายตัวได้ต่อเนื่อง พร้อมแนะผู้ประกอบการเอสเอ็มอี หากมีปัญหาหนี้ ให้เข้าไปคุยกับสถาบันการเงินเจ้าหนี้ หรือ ขอคำปรึกษาจาก บสย. เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาให้ธุรกิจเดินต่อไปได้ โดยในปีนี้ ตั้งเป้าค้ำประกัน 1.15 แสนล้านบาท เน้นช่วยเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุน ปรับโครงสร้างหนี้ และแก้หนี้อย่างยั่งยืน
นายเอ็นริโก้ ทานูวิดจายา นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารยูโอบี ประเมินเศรษฐกิจไทยในปีนี้ จะขยายตัวได้ 3.6% โดยได้เเรงหนุนจากการท่องเที่ยว การส่งออก ที่ส่งผลดีต่อการจ้างงาน ควบคู่กับการบริโภคฟื้นตัว จากมาตรการกระตุ้นภาครัฐ นอกจากนี้ยังได้รับอานิสงส์จากเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ ที่เดินหน้าย้ายฐานการผลิตเข้ามาไทย เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชนและสนับสนุนให้เศรษฐกิจโดยรวมฟื้นตัว อย่างไรก็ดียังมีความเสี่ยงจากสงคราม การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจจีน
