ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2025 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 46,590 จุด -557 จุด หรือ -1.18% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 6,672 จุด -61 จุด หรือ -0.02% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 22,708 จุด -192 จุด หรือ -0.84% ส่งผลให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดต่ำกว่าระดับ 47,000 จุด เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นสำคัญในตลาดหุ้นนิวยอร์กสหรัฐปิดดำดิ่งหนักมากที่สุดในรอบ 5 สัปดาห์หรือนับตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2025 ที่ผ่านมา
สาเหตุจากนักลงทุนเกิดความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับแนวโน้มและโอกาสการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาในการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้ในเดือนธันวาคมที่กำลังจะจะมาถึง เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด ตกอยู่ในภาวะการขาดแคลนข้อมูลทางเศรษฐกิจ ที่จะใช้ประกอบในการประเมินทิศทางอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว ซึ่งเป็นผลกระทบจากภาวะรัฐบาลสหรัฐอเมริกาชัตดาวน์ยาวนานถึง 43 วันติดกัน รวมถึงนักลงทุนวนกลับไปยังปัจจัยราคาหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเอไอที่มีราคาสูงเกินปัจจัยแท้จริง
ด้านตัวชี้วัดโอกาสปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟด หรือ ซีเอ็มอี วอทช์ ในการประชุมเดือนธันวาคม 2025 ปรากฎว่า มีโอกาสลดลงมาอยู่ที่ 41% จากเดิมที่ระดับ 43% สะท้อนถึงนักลงทุนมีความไม่มั่นใจสูงขึ้นที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลงต่อเนื่องเป็นครั้งที่สามติดต่อกันและมีความเป็นไปได้ที่เฟสจะชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นจากที่หลายฝ่ายคาดการณ์กันว่าจะมีการปรับลดลงถึง 3 ครั้งในช่วงที่เหลือตั้งแต่ครึ่งปีหลังจนถึงสิ้นปีนี้