ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2024 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 41,198 จุด +243 จุด หรือ +0.59% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 5,588 จุด -78 จุด หรือ -1.39% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 17,996 จุด -512 จุด หรือ -2.77% ส่งผลให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ดัชหุ้นนาสแดคกลับถูกถล่มเทขายอย่างหนักดำดิ่งมากที่สุดในรอบ 1 ปี 6 เดือน หรือตั้งแต่ธันวาคม 2022 และปิดหลุดระดับ 18,000 จุดในรอบ 16 วันผ่านมา หรือตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมผ่านมา
ในสัปดาห์ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิด +1.6%, +0.9% และ +0.2% ตามลำดับ นับตั้งแต่ต้นปีนี้ ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 และดัชนีหุ้นนาสแดคปิดพุ่งขึ้น +17.6% และ +22.5% ตามลำดับ
สิ้นสุดเดือนมิถุนายน ปรากฎว่าดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดเพิ่มขึ้น +1.1%, +3.5% และ +6% ตามลำดับ ส่งผลให้ทั้ง 3 ดัชนีหุ้นปิดรายเดือนเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกันจากทั้งหมดใน 8 เดือนผ่านมา อย่างไรก็ตามในไตรมาส 2 พบว่า ทั้ง 3 ดัชนีหุ้นปิดสวนทางกัน -1.7%, +3.9% และ +8.3% ตามลำดับ นอกจากนี้ สิ้นสุดครึ่งปีแรก หรือนับตั้งแต่ต้นปีนี้มาถึงปัจจุบัน พบว่า ดัชนีสำคัญดังกล่าวปิดเพิ่มขึ้น +3.8%, +14.5% และ +18.1% ตามลำดับ
สาเหตุจากนักลงทุนมองมุมบวกต่อโอกาสลดดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐในเดือนกันยายนนี้ หลังจาก ในวันอังคารผ่านมา นายเจอโรม พาวเวลล์ ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ได้แถลงมุมมองภาวะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาต่อสมาคมเศรษฐกิจ วอชิงตัน ดีซี กล่าวว่า ถ้าต้องรอให้อัตราเงินเฟ้อลดลงจนเข้าเป้าหมายที่ระดับ 2% พอดี อาจจะต้องรอคอยยาวนานเกินไป เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่อยู่ในระดับสูงนั้น หรือระดับความตึงตัวของนโยบายการเงินที่อยู่ในระดับปัจจุบัน ยังคงส่งผลกระทบให้บางทีกดดันอัตราเงินเฟ้อลงต่ำกว่าเป้าหมายที่ 2%
นอกจากนี้ นักลงทุนแห่เทขายหุ้นกลุ่มไมโครชิปอย่างหนาตา หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ กล่าวว่า ไต้หวันควรจะให้ประโยชน์อะไรบางอย่างกับสหรัฐบ้างในฐานะที่สหรัฐปกป้องไต้หวัน ส่งผลให้นักลงทุนเกิดความกังวลอย่างมากต่อนโยบายการเป็นชาติพันธมิตรกับไต้หวันในอนาคต ซึ่งเป็นฐานที่ตั้งของบริษัทผลิตไมโครชิป และเซมิคอนดักเตอร์ชื่อดังหลายแห่ง
ด้านตัวชี้วัดโอกาสปรับอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดที่เรียกว่า เฟดวอช์ท พบว่า โอกาสปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นลงในเดือนกันยายนอยู่ที่ 98% จากเดิมที่ 100% ขณะที่ โอกาสปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นลงในธันวาคมอยู่ที่ 72% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ระดับ 50%
ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ทำสถิติทั้งในรายไตรมาส และรายเดือนที่ดีที่สุดในรอบเกือบ 5 ปี หรือตั้งแต่ปี 2019 โดยในรายไตรมาสนั้น ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดเพิ่มขึ้น +7.4%, +10.2% และ +9.1% ตามลำดับ ส่งผลดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดไตรมาสที่ 1 ปีนี้ดีที่สุดในรอบ 5 ปี หรือตั้งแต่ปี 2019 และดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดไตรมาสที่ 1 ปีนี้ดีที่สุดในรอบ 3 ปี หรือตั้งแต่ปี 2021 สอดรับกับรายเดือน ปิดเพิ่มขึ้น +2.1%, +3.1% และ +1.8% ตามลำดับ