ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2024 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 43,444 จุด -305 จุด หรือ -0.70% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 5,870 จุด -78 จุด หรือ -1.32% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 18,680 จุด -427 จุด หรือ -2.24% ในสัปดาห์นี้ ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง พุ่งลดลง -0.5%, -0.8% และ -0.9% ตามลำดับ ส่งผลให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ และดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดในสัปดาห์นี้หลุดระดับ 44,000 จุด และ 6,000 จุด ตามลำดับ
สาเหตุจากนักลงทุนขายเพื่อทำกำไรเกิดขึ้นหลังจากดัชนีหุ้นปรับสูงขึ้นต่อเนื่องมาในช่วง 9 วันผ่านมา หรือนับตั้งแต่วันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ทำให้นักลงทุนมองว่าปัจจัยทรัมป์เทรดได้ผ่อนคลายลงแล้ว นอกจากนี้ นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด กล่าวว่าภาวะเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงผ่านมาอยู่ในภาวะดีอย่างน่าทึ่ง เศรษฐกิจสหรัฐไม่มีสัญญาณใดๆ ที่ทำให้เฟดต้องเร่งรีบในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ ทำให้เฟดสามารถที่จะพิจารณาการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยด้วยความละเอียดอ่อน และระมัดระวังต่อไป นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของเส้นทางอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่เหมาะสมกับภาวะปกตินั้น เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เฟดจะต้องระมัดระวัง ดังนั้น นี่อาจจะเป็นกรณีที่เฟดชะลอการปรับอัตราดอกเบี้ย เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสในการสร้างความมั่นใจว่าเฟดได้บริหารได้ถูกทาง
ด้านค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าสูงขึ้นในรอบ 1 ปี พร้อมกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ตัวชี้วัดโอกาสปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นของสหรัฐอเมริกา พบว่า การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐครั้งต่อไปวันที่ 17-18 ธันวาคมนี้ มีโอกาสที่ 72% ที่ดอกเบี้ยจะปรับลง 0.25%