ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2025 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 40,212 จุด +619 จุด หรือ +1.56% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 5,363 จุด +95 จุด หรือ +1.81% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 16,724 จุด +337 จุด หรือ +2.06%
ขณะที่เมื่อวันที่ 9 เมษายน ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 40,608 จุด +2,962 จุด หรือ +7.87% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 5,456 จุด +474 จุด หรือ +9.52% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 17,124 จุด +1,857 จุด หรือ +12.16% ส่งผลให้ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่งทำสถิติคึกคัก ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดพุ่งใน 1 วันดีที่สุดในรอบ 17 ปี หรือตั้งแต่ตุลาคมปี 2008 หรือตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจการเงินโลก ดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดพุ่งใน 1 วันดีที่สุดในรอบ 24 ปี 2 เดือน หรือตั้งแต่มกราคมปี 2001 หรือตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจฟองสบู่ดอทคอม นอกจากนี้ยังเป็นสถิติปิดพุ่งมากเป็นอันดับที่ 2 ในประวัติศาสตร์ของดัชนีหุ้นนาสแดคอีกด้วย
ก่อนหน้านี้ตั้งแต่วันทำการที่ 3 ถึงวันที่ 8 เมษายน 2025 ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ และดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดดำดิ่งลงเหวถึง 4 วันติดกันรวม -4,579 จุด และ -686 จุด ตามลำดับ ทำสถิติดัชนีหุ้นปิดดำดิ่งเลวร้ายสุดในรอบเกือบ 5 ปี ในสัปดาห์ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิด -7.86%, -9.08% และ -10.02% ตามลำดับ ส่งผลดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ร่วงติดกัน 6 สัปดาห์ ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ร่วงติดกัน 4 สัปดาห์ และ ดัชนีหุ้นนาสแดคร่วงติดกัน 6 สัปดาห์
สาเหตุจากโฆษกทำเนียบขาว สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นายโดนัลด์ ทรัมป์ มีมุมมองในทางบวกว่าจีนจะเลือกการเจรจากับสหรัฐ ขณะที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประเทศจีน แถลงประกาศใช้มาตรการอัตราภาษีนำเข้าสูงขึ้น 41% จากเดิมที่ได้ประกาศไปให้ขึ้นเป็น 84% ส่งผลรวมเป็นขึ้นภาษี 125% กับสินค้าทุกชนิดที่นำเข้าจากสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นการตอบโต้หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ประกาศขึ้นภาษีต่างตอบแทน หรือ Reciprocal Tariifs สูงขึ้นเป็น 145% กับสินค้าที่นำเข้าจากประเทศจีนทั้งนี้มาตรการตอบโต้ของกระทรวงการคลังจีนจะมีผลตั้งแต่วันที่ 12 เมษายน 2025 เป็นต้นไป