ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2024 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 37,753 จุด -45 จุด หรือ -0.02% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 5,022 จุด -29 จุด หรือ -0.58% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 15,683 จุด -181 จุด หรือ -1.15% ในสัปดาห์ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดลดลง -2.37%, -1.56% และ -0.45% ตามลำดับ
หากในสัปดาห์นี้ ดัชนีหุ้นนาสแดคปิดร่วงลงในแดนลบ ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงมากเนื่องจากร่วงถึง -3% และปิดดิ่งเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน จะส่งผลให้ดัชนีหุ้นนาสแดครายสัปดาห์ทำสถิติร่วงตกต่ำยาวนานต่อเนื่องมากที่สุดในรอบ 1 ปี 4 เดือน หรือนับตั้งแต่ธันวาคม ปี 2022 เป็นต้นมา
สาเหตุจากผลตอบแทนพันธบัตรรัฐสหรัฐอายุ 10 ปี พุ่งขึ้นแตะระดับ 4.6% ทำสถิติสูงสุดในรอบ 5 เดือน หรือนับตั้งแต่พฤศจิกายนปี 2023 เป็นต้นมา และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง หลังจากตัวเลขยอดขายปลีกเดือนมีนาคมในสหรัฐเพิ่มขึ้นเหนือคาดการณ์ สะท้อนความกังวลว่าการลดดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐในปีนี้อาจล่าช้า และจำนวนครั้งในการลดดอกเบี้ยลดน้อยลงกว่าที่ประเมินกันไว้ ธนาคารโกลด์แมน แซคส์ ปรับลดจำนวนครั้งการลดดอกเบี้ยจาก 3 เหลือ 2 ครั้ง และคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐจะลดดอกเบี้ยลงครั้งแรกล่าช้าออกไปอีก 1 เดือน จากเดิมคาดว่าจะลดในเดือนมิถุนายนไปเป็นเดือนกรกฎาคม
ผู้ว่าการเฟด สาขามินนาโพลิส นายนีล แคชคารี่ กล่าวว่าถ้าหากความคืบหน้าของอัตราเงินเฟ้อที่ทยอยลดลงนั้น กลับไม่มีสัญญาณที่ดีอย่างที่คิดไว้ การลดดอกเบี้ยระยะสั้นอาจจะไม่จำเป็นในปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีความแข็งแกร่งขยายตัวได้ท่ามกลางดอกเบี้ยในระดับสูง ขณะที่ประธานเฟดยืนยันต้องมีข้อมูลที่เชื่อใจได้ว่าเงินเฟ้อลดลงต่อเนื่องจริง ขณะที่ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ สาขาแอตแลนต้า กล่าวว่า อาจมีการลดดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวในปีนี้ ท่ามกลางมุมมองในตลาดทุนที่ประเมินว่าจะลดถึง 3 ครั้ง ด้านสถานการณ์ตึงเครียดสูงระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านยังคงกดดันนักลงทุนให้เทขายหุ้นหนาตาต่อเนื่อง
ตัวชี้วัดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่เรียกว่า เฟดวอช์ท พบว่า โอกาสเริ่มปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นลง 0.25% ของเฟดในการประชุมเดือนมิถุนายน ปี 2024 อยู่ที่ 21% จากเดิมที่ระดับ 50% ขณะที่โอกาสดังกล่าวที่จะลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายนเพิ่มสูงขึ้นเป็น 71%
ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ทำสถิติทั้งในรายไตรมาส และรายเดือนที่ดีที่สุดในรอบเกือบ 5 ปี หรือตั้งแต่ปี 2019 โดยในรายไตรมาสนั้น ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดเพิ่มขึ้น +7.4%, +10.2% และ +9.1% ตามลำดับ ส่งผลดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดไตรมาสที่ 1 ปีนี้ดีที่สุดในรอบ 5 ปี หรือตั้งแต่ปี 2019 และดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดไตรมาสที่ 1 ปีนี้ดีที่สุดในรอบ 3 ปี หรือตั้งแต่ปี 2021 สอดรับกับรายเดือน ปิดเพิ่มขึ้น +2.1%, +3.1% และ +1.8% ตามลำดับ