ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2025 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 39,186 จุด +1,016 จุด หรือ +2.66% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 5,287 จุด +129 จุด หรือ +2.51% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 16,300 จุด +429 จุด หรือ +2.71%
ก่อนหน้านึ้ถึงวันที่ 21 เมษายน 2025 ดัชนีหุ้นสำคัญทั้งสามแห่งทำสถิติดำดิ่งเลวร้ายถึง -9% นับตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2025 หรือเป็นวันที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกานายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศบังคับใช้มาตรการภาษีต่างตอบแทน หรือ Reciprocal Tariffs กับ 185 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ ส่งผลดัชนีหุ้นดาวโจนส์ และนาสแดคปิดลดลง 4 วันติดกันรวม -2,352 จุด และ -959 จุดตามลำดับ ในสัปดาห์ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิด -2%, -1.5% และ -2.% ตามลำดับ
ที่สำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่งที่ทำสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์นั้นในช่วงที่ผ่านมากับดัชนีหุ้นของแต่ละแห่งที่ปิดตลาดในคืนผ่านมา จะพบว่า ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ -12.98% ยังคงอยู่ในภาวะปรับฐานสมบูรณ์แบบ หรือ Correction ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ร่วง -13.92% ยังคงอยู่ในภาวะปรับฐานสมบูรณ์แบบ หรือ Correction และดัชนีหุ้นนาสแดค -19.23% พ้นออกจากภาวะตลาดหมี หรือ Bear Market แต่เข้าสู่ภาวะปรับฐานสมบูรณ์แบบ หรือ Correction
สาเหตุจากประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกานายโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบขาว สหรัฐอเมริกา เมื่อคืนที่ผ่านมาว่าไม่มีความตั้งใจที่จะปลดประธานธนาคารกลางสหรัฐ นายเจอโรม พาวเวลล์ ซึ่งตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมานายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความในสื่อโซเชียลต่อเนื่องในลักษณะตำหนิและวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง รวมถึงมีการปรึกษาหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องทางกฎหมายที่จะปลดนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด ทั้งนี้ ประธานเฟดมีเวลาอยู่ในตำแหน่งถึงเดือนพฤษภาคม 2026
รัฐมนตรีกระทรวงการคลังกล่าวว่า ความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐไม่ได้เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นยาวนาน ทำให้นักลงทุนประเมินว่าความขัดแย้งด้านสงครามภาษีและการค้าของทั้ง 2 ประเทศอาจจะผ่อนคลายและมีทางออก ด้านค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพลิกแข็งค่าขึ้น 0.7% หลังจากอ่อนค่าต่ำสุดในรอบ 3 ปีมาเป็นเวลาหลายวัน
ผลสำรวจเกี่ยวกับมุมมองภาวะเงินเฟ้อสหรัฐอเมริกา พบว่าตัวเลขดังกล่าวในช่วง 5 ปี ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3.5% ทำสถิติมุมมองเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงที่สุดในรอบเกือบ 30 ปีหรือนับตั้งแต่เมษายนปี 1995 เป็นต้นมา และในช่วง 1 ปี ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 4.3% ทำสถิติมุมมองเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงที่สุดในรอบ 1 ปี 3 เดือน หรือนับตั้งแต่พฤศจิกายนปี 2023 เป็นต้นมา
ทั้งนี้สิ้นสุดปี 2024 พบว่า ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง พุ่งสูง +13%, +23% และ +29% ตามลำดับ โดยเฉพาะ ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ทำสถิติผลตอบแทนดัชนีหุ้นปิดบวกสูงกว่า 20% เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน