ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2025 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 46,067 จุด +587 จุด หรือ +1.29% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 6,654 จุด +102 จุด หรือ +1.56% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 22,694 จด +490 จุด หรือ +2.21% ส่งผลให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ฟื้นกลับมาปิดเหนือระดับ 46,000 จุด เป็นครั้งใหม่ และยังหยุดดัชนีดังกล่าวปิดร่วงมา 5 วันทำการติดต่อกัน
นอกจากนี้ ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ทะยานขึ้นใน 1 วันมากที่สุดในรอบ 4 เดือนครึ่ง หรือตั้งแต่ 27 พฤษภาคมที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ทะยานขึ้นใน 1 วันมากที่สุดในรอบ 1 เดือน หรือตั้งแต่ 11 กันยายนที่ผ่านมา
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2025 ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 และดัชนีหุ้นนาสแดค ดำดิ่งหนักใน 1 วันมากที่สุดในรอบ 6 เดือน หรือตั้งแต่เมษายนที่ผ่านมา สอดรับกับดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ดำดิ่งหนักใน 1 วันมากที่สุดในรอบ 5 เดือน หรือตั้งแต่พฤษภาคมที่ผ่านมา ที่สำคัญ มูลค่าตลาดหุ้นนิวยอร์กสหรัฐในวันที่ 10 ตุลาคม 2025 เสียหายอย่างมากถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 65 ล้านล้านบาท
ในสัปดาห์ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่งลงอย่างหนัก -2.7%, -2.4% และ 2.5% ตามลำดับ
สาเหตุจาก นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ เดินทางไปถึงประเทศอิสราเอลและได้พบกับผู้นำสูงสุดของทั้งอิสราเอล และฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเจรจา และนำไปสู่แผนสันติภาพ นอกจากนี้ยังได้ประกาศว่าสงครามในฉนวนกาซาสิ้นสุดลงแล้วอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาการปล่อยตัวประกันและเฉลยศึกของทั้งสองฝ่ายดำเนินไปตามแผนอย่างราบรื่น
ในคืนวันที่ 12 ตุลาคมผ่านมา ประธานาธิบดีสหรัฐโพสต์ข้อความว่า เรื่องราวทุกอย่างระหว่างสหรัฐฯกับจีนจะเรียบร้อย ไม่ต้องเป็นห่วง ทั้งจีนและสหรัฐอเมริกาไม่ต้องการเห็นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำรุนแรงหรือ Depression การโพสต์ข้อความดังกล่าวนับเป็นท่าทีล่าสุดของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่เปลี่ยนไปและแตกต่างอย่างสิ้นเชิง เมื่อเทียบกับการโพสต์ข้อความในวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา