ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2024 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 44,293 จุด +304 จุด หรือ +0.69% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 6,001 จุด +5 จุด หรือ +0.10% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 19,298 จุด +11 จุด หรือ +0.06% ส่งผลให้ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ทำสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ และดัชนีหุ้นดาวโจนส์ และดัชนีหุ้นนาสแดคปิดเหนือระดับที่ 44,000 จุด และ 6,000 จุดเป็นครั้งแรกตามลำดับ ที่สำคัญ ดัชนีหุ้นนาสแดคปิดสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ถึง 4 วันติดกัน
ในสัปดาห์ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง พุ่งปิด +4.61%, +4.66% และ +5.74% ตามลำดับ ส่งผลให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ และดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดในสัปดาห์นี้ดีที่สุดในรอบ 1 ปี หรือตั้งแต่พฤศจิกายน 2023 เป็นต้นมา
สาเหตุจากนักลงทุนมีความมั่นใจอย่างมากจึงยังคงเข้าลงทุนหุ้นต่อเนื่องหลังจากธนาคารกลางสหรัฐปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นลงอีก 0.25% ตามคาดหมายในสัปดาห์ผ่านไป หุ้นทุกกลุ่มในแต่ละกลุ่มดัชนีหุ้นสำคัญล้วนปิดพุ่งสูงขึ้น เช่น กลุ่มสถาบันการเงิน กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มเอสเอ็มอี โดยเฉพาะราคาหุ้นเทสลาปิดพุ่งสูงในคืนผ่านมา ส่งผลขนาดบริษัทเทสลามีมูลค่าแตะระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 35 ล้านล้านบาท
ผลจากความชัดเจนในผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 47 โดยนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลายด้วยคะแนนคณะผู้เลือกตั้งถึง 301 คะแนน ปัจจัยดังกล่าว ทำให้ขจัดปัจจัยเสี่ยง หรือปัจจัยความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมืองสหรัฐ พรรครีพลับริกันเต็มไปด้วยอำนาจการบริหารราชการเบ็ดเสร็จสมบูรณ์แบบ เนื่องจากได้คะแนนเสียงส่วนใหญ่ทั้งวุฒิสมาชิก ทั้งสมาชิกผู้แทนราษฎร และผู้ว่าการรัฐ นโยบายของทรัมป์ที่จะยุติสงครามในภูมิภาคที่เกิดความขัดแย้งรุนแรงด้วย
ตัวชี้วัดโอกาสปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นของสหรัฐอเมริกา พบว่า การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐครั้งต่อไปวันที่ 17-18 ธันวาคมนี้ มีโอกาสที่ 60% ที่ดอกเบี้ยจะปรับลง 0.25%