ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่าดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงช่วงต้นสัปดาห์ โดยเผชิญแรงกดดันหลักๆ จากหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าจากความกังวลเกี่ยวกับประเด็นการปรับลดค่าไฟ และหุ้นกลุ่มสื่อสารจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของพ.ร.ก. ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ก่อนจะดีดตัวขึ้นในเวลาต่อมาขานรับรายงานข่าวที่ว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ อาจพิจารณาจัดเก็บภาษีนำเข้าเป็นรายอุตสาหกรรม แทนการจัดเก็บภาษีในวงกว้าง
ดัชนีหุ้นไทยกลับมาย่อตัวลงอีกครั้งตั้งแต่ช่วงกลางสัปดาห์สอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค โดยมีปัจจัยลบจากคาดการณ์เกี่ยวกับการชะลอการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้ รวมถึงรายงานข่าวที่ว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ มีแผนจะประกาศภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจแห่งชาติเพื่อให้มีอำนาจในการตั้งกำแพงภาษีนำเข้า นอกจากนี้กรณีจำนำหุ้นของผู้บริหารบจ. แห่งหนึ่งก็นับเป็นอีกปัจจัยที่กระทบบรรยากาศของตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นไทยฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วนช่วงท้ายสัปดาห์ โดยมีแรงหนุนหลักๆ จากแรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อนึ่งสัปดาห์นี้หุ้นกลุ่มแบงก์และกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นสวนทางภาพรวมตลาดท่ามกลางแรงซื้อเก็งกำไรก่อนประกาศผลประกอบการไตรมาส 4/2567
เมื่อวันศุกร์ที่ 10 ม.ค. 2568 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,367.99 จุด ร่วงลง 1.21% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 40,287.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.70% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 4.24% มาปิดที่ระดับ 294.38 จุด
สำหรับในสัปดาห์นี้ (13-17 ม.ค. 68) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,350 และ 1,330 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,380 และ 1,400 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ผลประกอบการไตรมาส 4/2567 ของบจ.ไทย โดยเฉพาะกลุ่มแบงก์ และทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิต ดัชนีราคาผู้บริโภค ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้าน และผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนธ.ค. 2567 รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนธ.ค. 2567 ของยูโรโซน รวมถึงตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/2567 และข้อมูลเศรษฐกิจเดือนธ.ค. 2567 ของจีน อาทิ ยอดค้าปลีก และผลผลิตภาคอุตสาหกรรม