สำนักคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ เปิดเผยว่า ในครึ่งแรกของปี 2568 (ม.ค. – มิ.ย. 68) ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนพุ่งสูงกว่า 1,058,225 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 138% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติยื่นขอรับการส่งเสริม รวม 1,880 โครงการ สะท้อนว่าประเทศไทยกำลังเป็นหมุดหมายการลงทุนที่สำคัญในภูมิภาค และนั่นอาจเปลี่ยนทิศทางเศรษฐกิจของประเทศในอีกหลายสิบปีข้างหน้า
สัดส่วนการลงทุนในครึ่งปีแรก มูลค่าเงินลงทุนกว่า 793,000 ล้านบาท (มาจากตัวเลขมูลค่าการลงทุนของอุตสาหกรรมที่มีเงินลงทุนสูง 6 อุตฯ รวมกัน) ส่วนใหญ่มุ่งไปที่ “อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง” ได้แก่ ยานยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ ดิจิทัล และยังมีการลงทุนสูงในกลุ่มพลังงานหมุนเวียน เกษตรและแปรรูปอาหาร ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ อีกด้วย สะท้อนถึงการเป็นแหล่งลงทุนที่มีศักยภาพในฐานอุตสาหกรรมเดิม รวมถึงมีความพร้อมที่จะรองรับอุตสาหกรรมใหม่ เป็นศูนย์กลางการลงทุนที่โดดเด่นพร้อมเชื่อมต่อตลาดในภูมิภาคอาเซียนขยายไปสู่ตลาดโลก
นอกจากนี้ เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือ FDI ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง แสดงถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพที่ทำให้นักลงทุนตัดสินใจลงทุนในประเทศไทย โดยมีโครงการขอรับการส่งเสริมการลงทุน 1,369 โครงการ เป็นมูลค่าเงินลงทุนกว่า 737,570 ล้านบาท (+132% YoY)
สำหรับ 5 ประเทศลงทุนมากสุด ได้แก่ สิงคโปร์ 246,977 ล้านบาท ฮ่องกง 218,638 ล้านบาท สาธารณรัฐประชาชนจีน 102,263 ล้านบาท สหราชอาณาจักร 93,726 ล้านบาท และญี่ปุ่น 49,819 ล้านบาท
ส่วนการกระจายการลงทุนพบว่ามีไปทุกพื้นที่ของประเทศ ภาคตะวันออก คือ จุดยุทธศาสตร์อันดับหนึ่ง ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 660,631 ล้านบาท จาก 1,011 โครงการ รองลงมาคือ ภาคกลาง 333,654 ล้านบาท ภาคใต้ 20,081 ล้านบาท ภาคอีสาน 19,354 ล้านบาท ภาคตะวันตก 11,342 ล้านบาท และภาคเหนือ 4,571 ล้านบาท
ประเภทอุตสาหกรรมดาวเด่นในครึ่งปีแรก พบว่า ดิจิทัลกลายเป็นหัวใจใหม่ของการลงทุนไทย 522,577 ล้านบาท (89 โครงการ) แรงขับหลักคือธุรกิจ Data Center ขนาดใหญ่ จากสหรัฐอเมริกา, อินเดีย, สิงคโปร์, ฮ่องกง, UK, จีน และญี่ปุ่น ตอบโจทย์ความต้องการด้าน AI และ IoT สะท้อนการ repositioning ไทยให้เป็น Hub Digital Infrastructure ของภูมิภาค Data Center: 28 โครงการ มูลค่า 521,237 ล้านบาท Cloud Services: 2 โครงการ มูลค่า 671 ล้านบาท Software & Digital Platform: 51 โครงการ มูลค่า 616 ล้านบาท Electrical & Electronics (E&E) มูลค่า 125,786 ล้านบาท (268 โครงการ) ขยายการผลิต Battery Cells, High-Density Batteries, Supercapacitors, Smart Appliances, Smart Electronics, PCB Assembly นี่คือการยกระดับ Supply Chain เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ดั้งเดิมของไทย สู่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
-กลุ่มยานยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ Automotive & Parts มี 172 โครงการ มูลค่ารวม 45,195 ล้านบาท ไทยวางตำแหน่งจาก “ฐานประกอบรถยนต์สันดาป” สู่ “ศูนย์กลาง EV Supply Chain” ของอาเซียน เน้นการผลิตยานยนต์สมัยใหม่ xEV, ชิ้นส่วน EV, EV battery และขยายกำลังผลิตเพื่อส่งออก
-กลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน Renewable Energy มี 191 โครงการ มูลค่า 42,238 ล้านบาท ครอบคลุมโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด ระบบกักเก็บพลังงาน และโครงข่ายอัจฉริยะ ตอบโจทย์การเป็นฐานผลิตอุตสาหกรรมสีเขียวและยั่งยืน
-กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน Infrastructure Highlight มีโครงการใหญ่ นอกเหนือจากกลุ่มดิจิทัล คือ รถไฟฟ้าสายสีส้ม โดย BEM มูลค่ากว่า 109,200 ล้านบาท เชื่อมกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก–ตะวันออก 35.9 กม. เพิ่มศักยภาพโลจิสติกส์และการเดินทางในเมือง
ในครึ่งปีแรก มีโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตในกิจการเดิมกว่า 365 โครงการ มูลค่า 26,741 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% จากปีก่อนเน้นลงทุนใน การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ พลังงานหมุนเวียน ระบบ Automation, AI, Robotics การลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม นี่เป็นสัญญาณชัดว่า ภาคธุรกิจไทยเองก็กำลัง “เร่งเปลี่ยนตัวเอง” เพื่อให้ทันกับคลื่นเศรษฐกิจใหม่
ผลลัพธ์ที่เศรษฐกิจไทยจะได้ คือ งานใหม่กว่า 110,000 ตำแหน่ง การใช้วัตถุดิบในประเทศ 360,000 ล้านบาท/ปี มูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น 780,000 ล้านบาท/ปี นี่คือแรงขับเคลื่อนที่ต่อเนื่องในเศรษฐกิจจริง ทั้งการจ้างงาน, ผลิตภาพ และการเชื่อมไทยเข้ากับตลาดโลก
สำหรับโอกาสของผู้ประกอบการไทยนั้น ผู้ผลิต/ซัพพลายเออร์ — มองหาช่องทางเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานของ EV, Data Center, Automation ธุรกิจสตาร์ทอัพเทคโนโลยี Tech Startup — เสนอโซลูชัน AI, Software, Digital Infra ให้โรงงานที่บีโอไอให้การส่งเสริม ธุรกิจขนาดเอสเอ็มอี ได้ใช้มาตรการ Smart & Sustainable ยกระดับเครื่องจักรและกระบวนการ
บีโอไอ เสริมเครื่องมือให้พร้อมคว้าโอกาส เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยไม่เพียง “อยู่รอด” แต่ “เติบโต” ท่ามกลางการแข่งขันโลก จึงออก “มาตรการส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการไทย เพื่อรองรับโลกยุคใหม่” ครอบคลุมทั้งการเพิ่มขีดความสามารถและการป้องกันความเสี่ยง
5 มาตรการสำคัญ ได้แก่ อัปเกรด SMEs – ยกเว้นภาษี 5 ปี วงเงิน 100% สำหรับการลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต (จากเดิม 3 ปี วงเงิน 50%)
ขณะที่ การใช้สัดส่วนวัตถุดิบในประเทศ หรือ Local Content กำหนดสัดส่วนวัตถุดิบในประเทศสำหรับ EV และเครื่องใช้ไฟฟ้า พร้อมสิทธิภาษีเพิ่มอีก 2 ปี
การป้องกันการสวมสิทธิ – คุมเข้มกระบวนการผลิตในกิจการเสี่ยง เช่น ยานยนต์, อิเล็กทรอนิกส์, เฟอร์นิเจอร์ การจัดระเบียบการลงทุน – ยกเลิกส่งเสริมบางกิจการที่ไม่จำเป็นหรือเสี่ยงสูง เช่น แผงโซลาร์เซลล์, เหล็กขั้นปลาย
การปรับเงื่อนไขแรงงานต่างชาติ – เพิ่มโอกาสจ้างคนไทยและการถ่ายทอดความรู้