ในรอบไม่ถึง 24 ชั่วโมงผ่านมา เมื่อเวลา 12.00 น. วันนี้ 19 มกราคม 2567 พบว่า ธนาคารพาณิชย์ชื่อดัง 4 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพมีกำไรสุทธิ 41,636 ล้านบาท ธนาคารกรุงศรี มีกำไรสุทธิ 32,929 ล้านบาท ธนาคารกสิกรไทย มีกำไรสุทธิ 42,405 ล้านบาท และธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย มีกำไรสุทธิ 1,605 ล้านบาท ส่งผลประกาศผลประกอบกำไรสุทธิรวมกันเฉพาะ 4 ธนาคารพาณิชย์ข้างต้นสูงถึง 118,575 ล้านบาท หรือคิดเป็น 53.8% ของตัวเลขคาดการณ์กำไรสุทธิของธนาคารพาณิชย์ 8 แห่งในประเทศไทย ที่คาดว่าจะมีสูงถึงรวมกันกว่า 220,000 ล้านบาท หากเป็นไปตามตัวเลขดังกล่าว จะกลายเป็นผลกำไรสุทธิธนาคารพาณิชย์มากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ของประเทศไทย
นายพิล วิง ชี คิน กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ CIMBT แถลงผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคาร สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 มีรายได้จากการดำเนินงานจำนวน 13,771.6 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 170.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.3 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2565
สาเหตุหลักเกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้อื่นร้อยละ 10.5 และรายได้ดอกเบี้ยสุทธิร้อยละ 1.7 สุทธิกับการลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิร้อยละ 17.9 กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักผลขาดทุนด้านเครดิตที่ดาดว่าจะเกิดขึ้นลดลงร้อยละ 10.6 เป็นจำนวน 5,138.3 ล้านบาท เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น ร้อยละ 10.0
สำหรับกำไรสุทธิจำนวน 1,605.3 ล้านบาท ลดลงจำนวน 1,305.5 ล้านบาทหรือร้อยละ 44.9 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2565 ที่มีกำไรสุทธิ 2,910.8 ล้านบาท เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเติบโตสูงกว่าการเติบโตของรายได้จากการดำเนินงาน ประกอบกับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 485 โดยเป็นการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับหลักความระมัดระวังของธนาคารและเหมาะสมกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เป็นอยู่
อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Net Interest Margin – NIM) สำหรับปี 2566 อยู่ที่ร้อยละ 2.6 ลดลงจากงวดเดียวกันปี 2565 อยู่ที่ร้อยละ 2.7 เป็นผลจากต้นทุนการเงินที่เพิ่มขึ้น
วันที่ 31 ธันวาคม 2566 เงินให้สินเชื่อสุทธิจากรายได้รอตัดบัญชี (รวมเงินให้สินเชื่อซึ่งถ้ำประกันโดยธนาคารอื่นและเงินให้สินเชื่อแก่สถาบันการเงิน) ของกลุ่มธนาการอยู่ที่ 245 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 เมื่อเทียบกับเงินให้สินเชื่อ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 กลุ่มธนาคารมีเงินฝาก (รวมตั๋วแลกเงิน หุ้นกู้ และผลิตภัณฑ์ทางการเงินบางประเภท) จำนวน 310.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.1 จากสิ้นปี 2565 ซึ่งมีจำนวน 289.7 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (the Modified Loan to Deposit Ratio) ของกลุ่มธนาคารลดลงเป็นร้อยละ 78.9 จากร้อยละ 81.2 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565
สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs) อยู่ที่ 8.2 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ต่อเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้นอยู่ที่ร้อยละ 3.3 คงที่เมื่อเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 เป็นผลจากการที่กลุ่มธนาคารมึนโยบายการจัดการความเสี่ยงด้านการให้สินเชื่อที่รัดกุม มาตรการบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการปรับปรุงแนวทางในการเรียกเก็บหนี้จากสินเชื่อด้อยคุณภาพที่มีอยู่ และการแก้ปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ เงินกองทุนรวมของกลุ่มธนาคาร ณ สิ้นวันที่ 31 ธันวาคม 2566 มีจำนวน 59.2 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยงร้อยละ 22.0 โดยเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ร้อยละ 16.4