ทิสโก้ หั่นเป้าจีดีพีไทยทั้งปี 68 เหลือโต 1.6% จ่อถดถอยทางเทคนิค เศรษฐกิจโลกผันผวนหนัก การเมืองไม่แน่นอน ท่องเที่ยวฟื้นช้า

ทิสโก้ หั่นเป้า จีดีพีไทย ทั้งปี 68 เหลือโต 1.6% จ่อถดถอยทางเทคนิค เศรษฐกิจโลกผันผวนหนัก การเมืองไม่แน่นอน ท่องเที่ยวฟื้นช้า

นายเมธัส รัตนซ้อน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) ประเมินว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจมีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession) จากแรงกดดันทั้งภายนอกและภายในประเทศ ปัจจัยลบสำคัญ ได้แก่ ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าโลก ภาคการท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจนำไปสู่ภาวะสุญญากาศ ท่ามกลางปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง TISCO ESU จึงปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 68 ลงมาอยู่ที่ 1.6% และปี 69 เหลือเพียง 1.4%

หนี้สาธารณะเติบโตขึ้นเร็วกว่าขนาดของเศรษฐกิจ สะท้อนว่าการใช้เงินงบประมาณของรัฐฯ มีประสิทธิภาพต่ำ และใกล้จะชนเพดานอีกครั้ง ซึ่งถ้ามีการขยายเพดานหนี้สาธารณะ รวมถึงปัจจัยเรื่องรายได้ภาษีมีแนวโน้มลดลงจากเศรษฐกิจที่จะชะลอตัว ขณะที่รายจ่ายลดลงไม่ได้ อาจจะนำไปสู่การถูกปรับลดอันดับเครดิตของไทยในไม่ช้า

ด้านนโยบายการเงิน คาดว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ สู่ระดับ 1.25% และอาจลดต่ออีก 2 ครั้งภายในครึ่งแรกของปีหน้า เพื่อรองรับเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและเงินเฟ้อที่ยังต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย

ขณะที่นโยบายการคลัง อาจเป็นเพียงปัจจัยเดียวที่พอจะหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจได้บ้าง หากรัฐบาลสามารถจัดสรรงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นโครงการที่มีตัวทวีคูณทางการคลังสูง (Fiscal Multiplier) และเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนให้ได้มากกว่า 80% ซึ่งจะช่วยชดเชยแรงกดดันจากภาคเศรษฐกิจอื่นที่กำลังมีปัญหาได้บ้าง และอาจหนุนเศรษฐกิจให้เติบโตได้ดีกว่าคาด อย่างไรก็ดี จากความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศที่สูงขึ้นมาก อาจทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะนำไปสู่ภาวะสุญญากาศ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขับเคลื่อนนโยบายการคลังให้ไม่สามารถทำงานได้ ระยะนี้จึงต้องจับตาพัฒนาการทางการเมืองอย่างใกล้ชิด เพราะอาจทำให้แรงส่งทางการคลังพลิกผันกลายมาเป็นแรงกดดันเพิ่มเติมต่อเศรษฐกิจได้

นายเมธัส กล่าวว่าถ้าหากมีการยุบสภาซึ่งมีโอกาสค่อนข้างต่ำ จะเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตต่อเศรษฐกิจ ในกรณีที่สภาถูกยุบไปก่อนที่ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จะผ่านอนุมัติ โดยคาดว่าจะเข้ามากระทบอัตราการเติบโตของ GDP ได้ถึง 1%

ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงด้านลบก็ยังคงอยู่ โดยนอกเหนือจากการเจรจาภาษีไม่สำเร็จแล้ว ซึ่ง TISCO ESU คาดว่าข้อเสนอนำเข้าพลังงาน และสินค้าเกษตรอาจช่วยลดการเกินดุลกับสหรัฐฯ ได้บ้าง แต่คงยังไม่เพียงพอที่จะต่อรองให้อัตราภาษีลดลงมาอยู่ที่ 10% ภาคการท่องเที่ยวในช่วงที่เหลือของปีก็ยังมีความน่าเป็นห่วงอย่างมาก โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้มีโอกาสจะเหลือเพียง 33.5 ล้านคน ลดลง 5.6% จากปีก่อน สาเหตุหลักจากนักท่องเที่ยวจีนที่ยังไม่กลับมาในระดับก่อนโควิด โดยช่วง 5 เดือนแรกของปีเดินทางเข้ามาเพียง 2 ใน 3 จากปีก่อน หรือมีสัดส่วนเพียง 40% จากช่วงก่อนโควิด สวนทางกับนักท่องเที่ยวชาติอื่นที่ฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติแล้ว สะท้อนว่ามีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่จะต้องฟื้นฟูความเชื่อมั่น โดยเฉพาะด้านความปลอดภัย เพื่อไม่ให้สูญเสียตลาดสำคัญนี้ในระยะยาว

ขณะที่ภาคธุรกิจ SMEs ยังคงเผชิญแรงกดดันอย่างหนักจากกำลังซื้อที่ลดลง และการแข่งขันจากสินค้าต่างประเทศ ซึ่งธุรกิจเหล่านี้กำลังต้องการสภาพคล่องอย่างมากเพื่อประคับประคองธุรกิจให้ผ่านพ้นสภาวะที่เศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง และมีแนวโน้มจะปรับแย่ลงชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง จึงมองว่าภาครัฐ ควรเข้ามาเป็นกลไกในการช่วยเหลือ SMEs อย่างเร่งด่วน และจัดสรรงบประมาณบางส่วนจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท ไปใช้ในโครงการปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) และการรับประกันสินเชื่อ เพื่อเสริมสภาพคล่องและพยุงไม่ให้เกิดคลื่นของการปิดกิจการและการเลิกจ้างที่อาจลุกลามบานปลายไปมากกว่าที่ประเมินอยู่

โดยผู้ประกอบการภาคเกษตรกรรมในพื้นที่ตะเข็บชายแดน จะได้รับผลกระทบที่รุนแรงจากการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาในระยะนี้ ต้องแบกรับความเสียหายจากการปิดกั้นการค้าขายสินค้าเกษตรกรรมข้ามชายแดน ซึ่งปกติ สินค้าเกษตรกรรมจะมีช่วงเวลาในการขายที่จำกัด ต่างกับสินค้าประเภทอื่นที่สามารถเก็บไว้ในคลังได้จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles