นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธนาคารฯ กำลังเร่งพิจารณาแนวทางเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินในกลุ่มเกษตรกร โดยเฉพาะเกษตรกรสูงอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป จากที่ก่อนหน้านี้ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการ ธ.ก.ส. ได้มอบนโยบายให้เร่งพิจารณาเรื่องนี้อย่างเข้มข้น โดยยอมรับว่ามีการพิจารณาในหลายมิติ หลายแนวทาง ซึ่งแนวทางการจัดตั้งบริษัทจัดการสินทรัพย์ (Asset Management Company : AMC) ก็เป็นแนวทางหนึ่งที่มีการพิจารณาอยู่
สำหรับ แนวทางการจัดตั้ง AMC นั้น ต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมด้วยว่า หากเป็นการไปร่วมดำเนินการกับ AMC ของนิติบุคคลอื่น ก็ต้องมาดูวัตถุประสงค์ AMC ของหน่วยงานดังกล่าวด้วยว่าสอดคล้องกับ ธ.ก.ส. หรือไม่ หรือจะดำเนินการจัดตั้ง AMC เอง ซึ่งมองว่าเหมือนการบริหารจัดการหนี้ปกติ เพียงแต่แยกออกมาเป็นกลุ่มเฉพาะ เช่น เกษตรกรที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป มีมูลหนี้ไม่เกิน 3 แสนบาท มีหลักประกันเป็นที่ดิน หรือสิทธิการเช่า หรือไม่มีหลักประกัน แต่เป็นการค้ำประกันแบบกลุ่ม ซึ่งต้องดูว่าเงื่อนไขใดบ้างที่สามารถดำเนินการได้เลยภายใต้กรอบกฎหมาย โดยขณะนี้ ธ.ก.ส. กำลังเร่งพิจารณาเพื่อเสนอกลับไปยังบอร์ด ธ.ก.ส. ยืนยันว่าจะได้ข้อสรุปทั้งหมดภายในปี 2568 แน่นอน
นายฉัตรชัย มองว่าการตั้ง AMC ขึ้นเอง ก็เข้าข่ายกรณีการตัดหนี้สูญ (แฮร์คัต) แต่ภายใต้การตัดหนี้สูญนั้นจะต้องมีกระบวนการ ที่หลักใหญ่เลยจะต้องไม่ทำให้รัฐเสียหาย ดังนั้น ภายใต้เงื่อนไขของกลุ่มลูกหนี้ที่กำลังจะเร่งดำเนินการช่วยเหลือนั้น ธนาคารได้มีการสำรองเต็มเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นกลุ่มนี้ก็สามารถทำแฮร์คัตหนี้ได้
อย่างไรก็ดี กระบวนการที่ทำจะต้องถูกต้องตามกฎหมาย ต้องมีการเสนอและได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง หรือคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อน และมองว่าแนวทางในการให้ ธ.ก.ส. จัดตั้ง AMC ขึ้นมาเองจะรวดเร็วกว่า สามารถดำเนินการได้ทันที โดยไม่ต้องไปแก้กฎหมาย เมื่อเทียบกับการไปร่วมกับหน่วยงานอื่น ซึ่งอาจจะมีกระบวนการที่ยาวกว่า
ส่วนสถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำนั้น นายฉัตรชัย มองว่า ปัจจัยนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบ หรือเพิ่มความเสี่ยงให้กับสัดส่วนหนี้เสียของธนาคารให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมา ธ.ก.ส. ได้ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกค้า เพื่อรองรับผลกระทบจากปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำมาเยอะมาก ทั้งการยืดหรือขยายระยะเวลาชำระหนี้ ซึ่งในทางกลับกัน มองว่ามาตรการที่ได้ออกไปนั้น ทำให้ภาระในการปิดจบหนี้ หรือภาระหนี้ของลูกค้ายาวนาน และมากขึ้น
“ธ.ก.ส. ต้องการช่วยเหลือลูกค้าที่เป็นเกษตรกรในทุกวิถีทาง ซึ่งการยืดหนี้ ก็เป็นแนวทางหนึ่ง แต่ตามหลักการปกติแล้ว ระยะเวลาหนี้ที่ยาวขึ้น ก็จะทำให้ภาระหนี้มากขึ้นตามไปด้วย และธนาคารไม่ได้มีเจตนาที่จะไปฟ้องยึดที่ของเกษตรมาขายทอดตลาดเหมือนกระบวนการปกติทั่วไป สถานการณ์เหล่านี้ ก็สอดคล้องกับสถานการณ์ลูกหนี้ในภาคเกษตรที่กลายเป็นกลุ่มสูงวัยมากขึ้นด้วย ตรงนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งแก้ปัญหา ซึ่ง ธ.ก.ส.วางแผนระยะ 5-10 ปี ในการปรับโครงสร้างอายุลูกหนี้ โครงสร้างพอร์ตสินเชื่อของธนาคาร เพราะธนาคารเองก็จะต้องแข็งแรงด้วย จึงจะมีแรงช่วยเกษตรกรในหลากหลายมิติได้”