ศูนย์วิจัยกรุงศรี เปิดเผยว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย จะไม่มีการปรับลดลงแต่อย่างใด โดยจะคงไว้ที่ 2.50% ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่อยู่ในระดับสูงรอบ 10 ปีไปตลอดทั้งปี 2567 สาเหตุจาก ธนาคารแห่งประเทศไทยมีเป้าหมายที่ต้องดูแลเงินเฟ้อ ซึ่งยังมีทิศทางเพิ่มขึ้นให้อยู่ภายในกรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย
นอกจากนี้ ยังเป็นการเอื้อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทยฟื้นตัวกลับเข้าสู่แนวโน้มระยะยาว ที่สำคัญ ยังเป็นการรักษาพื้นที่ของนโยบายดอกเบี้ย หรือ Policy Space เพื่อรองรับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตด้วย
ด้านมุมมองเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ พบว่า ภาวะเงินเฟ้อทั่วไปเดือนธันวาคม ปี 2566 ยังคงติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากการลดลงของราคาสินค้าในกลุ่มพลังงาน ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิง และค่ากระแสไฟฟ้า ตามมาตรการบรรเทาภาระค่าครองชีพด้านพลังงาน รวมทั้งการปรับลดลงของราคาในกลุ่มผักสด เนื้อสัตว์ และเครื่องประกอบอาหาร
สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งหักราคาหมวดอาหารสดและพลังงาน และเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดของธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่า ในเดือนธันวาคม 2566 อยู่ที่ 0.58% เท่ากับเดือนพฤศจิกายน ทำให้ทั้งปี 2566 อัตราเงินเฟ้อทั่วไป และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ 1.23% และ 1.27% ชะลอลงจากปี 2565 ที่ 6.08% และ 2.51% ตามลำดับ
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกรุงศรี ประเมินอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงต้นปี 2567 นี้ ยังคงมีแนวโน้มติดลบต่อเนื่องอยู่ เนื่องจากการต่ออายุมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร ออกไปอีก 3 เดือน เป็นสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2567 และการตรึงค่ากระแสไฟฟ้าสำหรับครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าต่ำกว่า 300 หน่วยต่อเดือน ในงวดบิลเดือนมกราคม-เมษายน
