นายรชฏ เสกตระกูล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้อำนวยการลูกค้าธุรกิจรายปลีก นครหลวง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การเข้าสู่ยุคดิจิทัลในปัจจุบันนับเป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจ เอสเอ็มอี ต้องเร่งปรับตัว โดยเฉพาะเศรษฐกิจอัจฉริยะ (Intelligence Economy) ที่นำเอาความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้เพื่ออำนวยความสะดวกให้ดำเนินธุรกิจได้สะดวก รวดเร็ว ช่วยวางแผนและจัดการด้วยระบบต่าง ๆ ที่ช่วยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การปรับตัวให้สอดรับกับทิศทางดังกล่าวอาจยังไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะธุรกิจยังต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายหลักถึง 4 เรื่อง ตั้งแต่การตลาดสมัยใหม่ที่เป็น Digital Commerce ทักษะด้านเทคโนโลยีของแรงงาน การสร้างแบรนด์อย่างเข้มแข็ง และสุดท้ายคือการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่จะมาช่วยสนับสนุนให้เกิดการลงทุนเพื่อยกระดับศักยภาพธุรกิจ
เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการมีความพร้อมสำหรับการปรับตัวยุคดิจิทัล ธนาคารกรุงเทพ ในฐานะ “เพื่อนคู่คิด” ที่พร้อมเคียงข้างทุกช่วงจังหวะชีวิตธุรกิจ ได้ร่วมมือกับ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ Alibaba.com ร่วมจัดสัมมนา “โอกาสใหม่ สู่ตลาดโลก ผ่าน Cross Border E-commerce” เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการก้าวไปสู่โอกาสใหม่ๆ ในตลาดโลกที่กำลังเปิดต้อนรับการทำธุรกิจข้ามพรมแดนมากขึ้นเรื่อย ๆ ผ่านรูปแบบ E-Commerce ตลอดจนสิ่งที่ผู้ประกอบการจะต้องรับมือพร้อมเครื่องมือที่จะส่งเสริมให้ธุรกิจปรับตัวได้อย่างราบรื่น
ที่ผ่านมาธนาคารได้ออกโครงการช่วยเหลือลูกค้า SME ด้วยการให้สินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษภายใต้โครงการ “สินเชื่อบัวหลวงเพื่อการปรับตัวธุรกิจ (Bualuang Transformation Loan)” วงเงินโครงการ 20,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยพิเศษคงที่ 5% ต่อปี ระยะเวลาสินเชื่อ 5 ปี โดยพิจารณาให้วงเงินสินเชื่อสูงสุด 10 ล้านบาทต่อราย เพื่อสนับสนุนให้ภาคธุรกิจปรับตัวเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้สามารถเติบโตอย่างยั่งยืน โดยผู้ประกอบการที่สนใจ ทั้งลูกค้าปัจจุบันหรือลูกค้าใหม่ สามารถติดต่อสมัคร สินเชื่อบัวหลวงเพื่อการปรับตัวธุรกิจ ได้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 – 31 มกราคม 2568 (หรือเมื่อมีลูกค้าใช้สินเชื่อเต็มวงเงินของโครงการ)
ด้านนางสาวเรขา ศรีสมบูรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์สถานการณ์ และเตือนภัยทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า ปัจจุบันไทยมีผู้ประกอบการ SME อยู่ราว 3.2 ล้านราย โดยอยู่ในกลุ่มภาคการค้ามากที่สุด 1.34 ล้านราย รองลงมาคือภาคบริการ 1.30 ล้านราย และ ภาคการผลิต 5.15 แสนราย ซึ่งจากทั้งหมดนี้มีกลุ่มธุรกิจเพียง 22,429 ราย (ปี 2566) ที่ส่งออกสินค้าไปขายในต่างประเทศ ซึ่งอยู่ในกลุ่มของอุปกรณ์ไฟฟ้าและส่วนประกอบ, อัญมณีและเครื่องประดับ, น้ำตาลและผลไม้เป็นหลัก โดยตลาดส่งออกสำคัญของกลุ่ม SME ยังคงเป็นตลาดอาเซียน ขณะที่ตลาดสหรัฐฯและจีนพบว่าขยายตัวเพิ่มขึ้นมาก โดยไทยได้อานิสงส์ในการส่งออกหลังทั้งสองประเทศกีดกันทางการค้าระหว่างกัน
แม้กลุ่ม SME จะมีจำนวนมากที่สุดในประเทศ แต่สัดส่วนของผู้ประกอบการที่ส่งออกสินค้าไปขายต่างประเทศกลับมีเพียงร้อยละ 0.7 ของจำนวนผู้ประกอบการ SME ทั้งหมด เนื่องจากส่วนใหญ่ยังขาดการเข้าถึงข้อมูล แหล่งเงินทุนเพื่อพัฒนาธุรกิจ และยังขาดการอัพเดทเทรนด์การค้า แรงงานที่มีทักษะด้านเทคโนโลยีในการใช้แพลตฟอร์มการผลิตและการค้าต่างๆ รวมทั้งการปรับเปลี่ยนกฎข้อบังคับการส่งออกสินค้าและแหล่งเงินทุนในการปรับปรุงธุรกิจ
ทั้งนี้ ในปี 2566 มูลค่าการส่งออกของกลุ่ม SME ขยายตัวได้ 26.3% และตลอดช่วง 5 ปี (2562-2566) มูลค่าการส่งออกของกลุ่มเอสเอ็มอีไทย ยังขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ 5.2% ซึ่งจากการร่วมมือสนับสนุนทั้งจากภาครัฐ เอกชน และสถาบันการเงิน เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการพัฒนาศักยภาพธุรกิจในภาวะการแข่งขันที่ท้าทายได้อย่างแข็งแรง เชื่อว่าในปี 2567 นี้ มูลค่าการส่งออกของกลุ่มผู้ประกอบการ SME จะขยายเพิ่มขึ้นได้อีกร้อยละ 8-10