ธนาคารมอร์แกน สแตนลีย์ ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง และมีชื่อเสียงระดับโลกของสหรัฐอเมริกาเปิดเผยว่า เตรียมปลดพนักงานจำนวนมากถึง 2,000 คนภายในสิ้นเดือนนี้ หรือในอีกไม่เกิน 2 สัปดาห์นี้ จำนวนพนักงานที่ตกงานในครั้งนี้คิดเป็นราว 3% ของพนักงานทั้งหมดจำนวนกว่า 80,000 คนในปัจจุบัน
สาเหตุจากต้องการที่จะปรับปรุง และเพิ่มประสิทธิภาพในธุรกิจวานิชธนกิจ หรือ Investment Banking นอกจากนี้ต้องการที่จะตัดลด และควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งเป็นผลมาจากความไม่แน่นอนมีสูงมากขึ้น ท่ามกลางการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจอย่างแข็งกร้าวของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะนโยบายและมาตรการการค้าระหว่างประเทศผ่านการบังคับใช้มาตรการเก็บขึ้นภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงในรอบหลายทศวรรษ และความผันผวนของภาคเอกชนในแง่ของการตัดสินใจเข้าระดมทุนในตลาดทุน
นายแดเนียล ซิมโควิทส์ ประธานร่วม ธนาคารมอร์แกน สแตนลีย์ เปิดเผยว่าบรรดาผู้บริหารระดับสูงในธุรกิจธนาคารพาณิชย์ทั้งในสหรัฐอเมริกา และยุโรปก่อนหน้านี้ ประเมินว่าภาวะตลาดทุนโลกจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งหลังจากได้ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 47 นายโดนัลด์ ทรัมป์ แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับกลายเป็นว่าสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนกลับมีสูงเพิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจการนำธุรกิจเอกชนเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น รวมถึงธุรกิจการควบรวมซื้อกิจการพบว่ามีแนวโน้มชะลอตัวชัดเจน
