ธนาคารโลกเปิดเผยรายงาน แนวโน้มภาวะเศรษฐกิจโลกประจำปี 2025 ได้ทำการปรับลดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลก หรือจีดีพี จากเดิมที่ระดับ 2.7% ลดลง 0.4% มาเหลือที่ 2.3% นอกจากนี้ ยังได้ปรับลดตัวเลขจีดีพีปี 2025 เกือบ 70% ของประเทศและเขตเศรษฐกิจทั่วโลก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน กลุ่มสหภาพยุโรป รวมถึง 6 ภูมิภาค ประเทศเกิดใหม่ การปรับรถดังกล่าวมีขึ้นเป็นครั้งที่สองนับตั้งแต่ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมาหรือนับตั้งแต่ก่อนที่นายดอนัลด์ ทรัมป์จะดำรงตำแหน่งประธานประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 47 สาเหตุในการปรับรถจีดีพีโลกในครั้งนี้เป็นผลมาจากสงครามภาษี และความไม่แน่นอนสูงของเศรษฐกิจโลก
ธนาคารโลก เปิดเผยต่อไปว่าการปรับลดตัวเลขคาดการณ์จีดีพีของเศรษฐกิจโลกในปี 2025 ทำให้เป็นการขยายตัวที่อ่อนแอมากที่สุด โดยไม่พิจารณาช่วงที่เศรษฐกิจโลกเกิดภาวะถดถอย นับตั้งแต่ปี 2008 หรือในรอบ 17 ปีที่ผ่านมา เมื่อถึงภายในปี 2027 อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจโลกจะอยู่ที่ระดับเฉลี่ยเพียง 2.5% ทำสถิติภาวะเศรษฐกิจโลกขยายตัวได้ย่ำแย่ที่สุด ไม่ว่าจะเป็นในช่วงทศวรรษใดก็ตามนับตั้งแต่ ยุคทศวรรษ 1960 หรือในรอบ 65 ปีผ่านมา
สำหรับตัวเลขเงินเฟ้อโลกในปี 2025 นั้นรายงานดังกล่าวเปิดเผยว่าธนาคารโลกได้ปรับขึ้นอัตราเงินเฟ้อมาอยู่ที่ระดับ 2.5% ซึ่งเป็นอัตราเงินเฟ้อที่อยู่สูงกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤตการณ์โรคระบาด โควิด-19 สาเหตุจากสงครามภาษี และภาวะตลาดการจ้างงานตึงตัว
ปัจจัยความเสี่ยงมากมาย ที่มีต่อแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจโลกยังคงอยู่ในทิศทางกดดันมากยิ่งขึ้น จากการใช้แบบจำลองของธนาคารโลกพบว่า การปรับเพิ่มขึ้นของภาษีอีกทุก 10% ต่อยอดจากอัตราภาษีเฉลี่ยของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาซึ่งอยู่ที่ระดับ 10% และมีการตอบโต้ในการขึ้นภาษีจากประเทศคู่ค้าในสัดส่วนใกล้เคียงกันนั้น อาจจะทำให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกหรือจีดีพีหดหายลงไปอีก -0.5% จากการปรับลดจีดีพีเศรษฐกิจโลกในครั้งนี้ ดังนั้นข้อจำกัดทางการค้าที่ทวีความตึงเครียดมากยิ่งขึ้น จะส่งผลให้การทำการค้าโลกหยุดนิ่งในช่วงที่เหลือของครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งจะมีผลด้านอื่นๆ ตามมา เช่น การล่มสลายของความเชื่อมั่นเป็นวงกว้าง ความไม่แน่นอนที่จะพุ่งสูงอย่างก้าวกระโดด และความปั่นป่วนในภาคตลาดการเงินโลก อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่จะมีผลทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอยนั้น ยังคงมีน้อยกว่า 10%
ธนาคารโลกได้ปรับลดตัวเลขจีดีพีของสหรัฐอเมริกาในปี 2025 ลดลงจากการคาดการณ์เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาที่ระดับ 2.3% ลดลง -0.9% ลงมาเหลือที่ระดับ 1.4% และในปี 2026 ลดลงจากการคาดการณ์เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาที่ระดับ 2.0% ลดลง -0.4% ลงมาเหลือที่ระดับ 1.6% นอกจากนี้ยังได้ปรับลดตัวเลขจีดีพีของกลุ่มสหภาพยุโรปในปี 2025 ลดลงจากการคาดการณ์เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาที่ระดับ 1.0% ลดลง -0.3% ลงมาเหลือที่ระดับ 0.7% สอดรับกับ การปรับลดตัวเลขคาดการณ์จีดีพีประเทศญี่ปุ่นในปี 2025 จากการคาดการณ์เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาที่ระดับ 1.2% ลดลง -0.5% ลงมาเหลือที่ระดับ 0.7% อย่างไรก็ตามธนาคารโลกไม่ได้เปลี่ยนแปลงตัวเลขคาดการณ์จีดีพีของจีนในปี 2025 จากเดือนมกราคมที่ผ่านมาส่งผลยังคงคาดการณ์จีดีพีขยายตัวที่ระดับ 4.5% เหมือนเดิม สาเหตุจากรัฐบาลจีน ยังคงมีกระสุนทั้งนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง ที่จะสนับสนุนการพยุงของเศรษฐกิจและ ยังสามารถกระตุ้นการเติบโตได้
นายอัยฮาน โคส รองหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารโลก กล่าวว่า ความไม่แน่นอนยังคงเป็นตัวฉุดรั้งที่มีพลังสูงมาก ซึ่งไม่แตกต่างจากหมอกหนาที่ลอยอยู่บนทางวิ่ง โดยจะทำให้เกิดการฉุดรั้งการลงทุน และมีความขุ่นมัว
ที่ปกคลุมมุมมองเกี่ยวกับเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีสัญญาณของการเพิ่มขึ้นในการที่จะเปิดเจรจาข้อตกลงการค้าและภาษี ซึ่งอาจช่วยให้เกิดการขับไล่ความไม่แน่นอน และห่วงโซ่การผลิตของซัพพลาย จะต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับสนามการค้าโลก ดังนั้นการค้าขายระหว่างประเทศทั่วโลกในปี 2026 อาจขยายตัวปานกลางที่ระดับ 2.4% และการพัฒนาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไออาจช่วยเพิ่มการขยายตัว
หน่วยงานดังกล่าวของธนาคารโลกยังเปิดเผยต่อไปว่า คาดการณ์การค้าระหว่างประเทศทั่วโลก ในปี 2025 จะขยายตัวเพียง 1.8% ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ลดลงต่ำกว่าในปี 2024 ที่ระดับ 3.4% ที่สำคัญ ยังเป็นตัวเลขคาดการณ์การเติบโตด้านการค้าระหว่างประเทศที่เหลือเหลือเพียง 1 ใน 3 ของระดับ 5.9% ในยุคทศวรรษ 2000 การคาดการณ์ดังกล่าวนั้นอยู่บนสมมุติฐานของสถานการณ์มาตรการภาษีของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีผลตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยคิดที่อัตราขั้นพื้นฐาน 10% บังคับใช้กับทั่วโลก สำหรับการคาดการณ์ในครั้งนี้ไม่นับรวมมาตรการภาษีต่างตอบแทน หรือ Reciprocal Tariffs ชั่วคราวนาน 90 วัน ที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายน มีการปรับรถลดลงมาบังคับใช้เป็นการชั่วคราวนาน 90 วันที่อัตราขั้นพื้นฐาน 10% จนถึงวันที่ 9 กรกฎาคมนี้