ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เปิดเผยรายงานเกี่ยวกับธุรกิจครอบครัวหรือ Family Business ในประเทศไทย มีส่วนสำคัญในการขยายตัวเศรษฐกิจของไทย พบว่า ธุรกิจครอบครัวในประเทศไทยคิดเป็น 80% ของธุรกิจทั้งหมดในประเทศ เมื่อเดือนมิถุนายนผ่านมานั้น บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยทั้งดัชนีหุ้น SET และดัชนีหุ้น mai มีธุรกิจครอบครัวจำนวนกว่า 575 บริษัท หรือ 67% จาก 852 บริษัทของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย
ด้านมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด พบว่า ธุรกิจครอบครัวที่เป็นบริษัทจดทะเบียนคิดเป็น 50% ของมูลค่าหลักทรัพย์ไทยทั้งตลาด ธุรกิจครอบครัวในดัชนีหุ้น SET กระจายในหลายหมวดธุรกิจ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดพาณิชย์ หมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ ขณะที่ ธุรกิจครอบครัวในดัชนีหุ้น mai จะอยู่ในกลุ่มบริการ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง และกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม
รายงานดังกล่าว พบว่า ช่วงที่ผ่านมา ธุรกิจครอบครัวในไทย 76% ของบริษัทจดทะเบียนที่เข้าซื้อขายในช่วงปี 2559 ถึงสิ้นเดือน มิ.ย. 2567 มีข้อมูลที่น่าสนใจ ดังนี้ ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา มีบริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวจำนวน 188 บริษัท จากบริษัทจดทะเบียนที่ทำ IPO ทั้งหมด 248 บริษัท ในช่วงปี 2559-2566 นั้น บริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวมีมูลค่าระดมทุนรวมสูงกว่า 344,459 ล้านบาท หรือคิดเป็น 61% ของมูลค่า IPO ทั้งหมด
บริษัทจดทะเบียนที่เป็นธุรกิจครอบครัวกลุ่มนี้ระดมทุนเพิ่มเติมผ่านการระดมทุนในตลาดรอง พบว่ามี 71 บริษัท ระดมทุนเพิ่มเติมในตลาดรอง 329 ครั้ง มีมูลค่าระดมทุนรวม 70,187 ล้านบาท ขณะเดียวกัน บริษัทจดทะเบียนที่เป็นธุรกิจครอบครัวมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ โดยในปี 2566 บริษัทกลุ่มนี้มีรายได้รวมสูงถึง 8.31 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 46.4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ที่สำคัญ บริษัทจดทะเบียนกลุ่มนี้จ่ายภาษีนิติบุคคลรวมสูงกว่า 106,287 ล้านบาท หรือคิดเป็น 14.1% ของภาษีเงินได้นิติบุคคลทั้งระบบที่กรมสรรพากรจัดเก็บในปี 2566
ธุรกิจครอบครัวมีการจ้างงานที่น่าสนใจ พบว่า ในปี 2566 บริษัทจดทะเบียนที่เป็นธุรกิจครอบครัวมีจำนวน 561 บริษัท มีการจ้างพนักงานรวมมากถึง 1.35 ล้านคน เพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อน โดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรและอาหาร กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มบริการ และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ที่มีการจ้างพนักงานในสัดส่วนที่มากกว่า 75% ของจำนวนพนักงานทั้งหมดที่มีการจ้างงานในกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าว