ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร โพสต์ข้อความเกี่ยวกับมุมมองของนักลงทุนต่างประเทศที่มีกับตลาดหุ้นไทย มีดังนี้
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาผมมีโอกาสไปนั่งคุยกับนักลงทุนที่สิงคโปร์มาสามวันเต็ม รวมๆเกือบยี่สิบ meetings ดูเหมือนว่านักลงทุนให้ความสนใจกับตลาดหุ้นไทยมากขึ้น หลังจากที่ราคาปรับลดลงมา แต่ส่วนใหญ่มาด้วยความผิดหวังกับเศรษฐกิจไทย หุ้นไทย และตลาดหุ้นไทย ประเด็นที่พูดคุยกัน นอกจากการอัพเดทเรื่องราวร้อยแปด ประเด็นสำคัญไม่ต่างกับที่ไปคุยเมื่อหกเดือนก่อน และดูเหมือนว่านโยบายที่พยายามจะพยุงหุ้นจะช่วยได้แค่ในระยะสั้น ในขณะที่สภาวะตลาดโลก และตลาดอื่นในภูมิภาคอาจจะไม่ค่อยเอื้ออำนวยเท่าไร
แต่ประเด็นที่ออกมาคล้ายๆกันในหลาย meeting คือ ตลาดหุ้นไทยขาดเสน่ห์ EPS ถูกปรับลดลงต่อเนื่อง ไม่มีเครื่องจักรและ growth story ใหม่ๆ ไม่มีทางเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจ ที่น่าห่วงที่สุดคือแนวโน้มกำไรต่อหุ้น และ RoE ของตลาดหุ้นไทยที่ถูกปรับลดอย่างน่าผิดหวังอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับทางเลือกการลงทุนทั้งในและนอกภูมิภาค (เพราะนักลงทุนเหล่านี้ไม่ได้จำเป็นต้องลงทุนในหุ้นไทย)
ประเด็น corporate governance และ market integrity เป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงมากที่สุด เพราะนักลงทุน ตปท ส่วนใหญ่เป็น passive investors ที่ต้องเชื่อว่าผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหารจะไม่เอาเปรียบเขา แต่ละเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา เขารู้สึกว่ามันคือการปล้นกัน บางคนบอกว่าบางบริษัท ใช้ตลาดหุ้นเป็นตู้ ATM นลท ที่ไม่จำเป็นต้องลงทุนหุ้นไทยอยู่แล้วก็ส่ายหัว และยิ่งไม่อยากแตะหุ้นไทย
เรื่อง political risk และ political unpredictability คงไม่ต้องพูดถึง อธิบายยังไงก็งงๆมึนๆ แบบที่เขาต้องถามว่า เขาจำเป็นต้องเข้าใจไหม ปัญหาสภาพคล่อง อย่างที่เรารู้กันว่า บทบาทหลักของตลาดหุ้นคือการมีของดีมาให้เลือกลงทุน มีนักลงทุนที่หลากหลาย และมีสภาพคล่องสูง มีต้นทุนธุรกรรมต่ำ เพื่อดึงดูดให้นักลงทุนอยากเข้ามาลงทุน สภาพคล่องเคยเป็นจุดแข็งของไทย แต่หลายคนบ่นว่ามาตรการหลายอย่างที่ออกมา กลับทำให้สภาพคล่องหดหาย ต้นทุนธุรกรรมสูงกว่าที่ควร ก็ทำให้ valuation ของตลาดหุ้นปรับตัวลดลงตาม และพัฒนาการตลาดทุนถดถอย ลองนึกภาพว่า ถ้านักลงทุนจะตัดสินใจลงทุน ถ้าต้นทุนของการเข้าออกสูง เขาคงคิดหนักว่าจะเลือกลงทุนในตลาดนั้น เทียบกับตลาดที่มีสภาพคล่องสูง ต้นทุนต่ำ
จากที่คุยกับนักลงทุน กลายเป็นความเห็นที่สอดคล้องกันว่า สิ่งที่เราควรให้ความสำคัญ คือการแก้ปัญหาปัจจัยพื้นฐานจริงๆมากกว่าการสร้างอุปสงค์ระยะสั้นที่อาจจะไม่ยั่งยืน
1. ในระยะสั้น เราต้องเร่งหา growth story ที่มีความหวัง ให้กับประเทศไทย โดยเน้นปฏิรูปเศรษฐกิจไทย ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนทั้งภาครัฐ และเอกชน และเพิ่ม productivity รัฐควรมีแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ชัดเจน (ตอนนี้นักลงทุนนึกออกแต่คาสิโน ทั้งที่เรายังต้องลงทุนอีกมาก) และควรแก้ปัญหาต่างๆที่เป็นอุปสรรคของการลงทุน มีแผนการส่งเสริมอุตสาหกรรม (รวมถึงอาหารและบริการ) ที่ชัดเจน มาเลเซียเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ ในการทำให้ประเทศกลับมาน่าสนใจ และกลับมาเป็นเป้าหมายของการลงทุุนอีกครั้ง
2. เราต้องเอาจริงเอาจังกับการปฏิรุปเรื่อง corporate governance ป้องกันไม่ให้เกิดการเอาเปรียบนักลงทุน ทั้งระบบควบคุมภายใน และภายนอก ต้องเอาจริงเอาจังกับบทบาทของฝ่ายควบคุมภายใน คณะกรรมการบริษัท กรรมการอิสระ และกรรมการตรวจสอบต้องหน้าที่อย่างแข็งขัน และหากเกิดการกระทำความผิด ต้องมีการจัดการอย่างเร่งด่วนและเป็นธรรม และป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก
หลายประเทศอย่างญี่ปุ่น (2013) เกาหลี (2024) และสิงคโปร์ (2025) มีการประกาศโครงการ value up program เพื่อเพิ่ม valuation ของบริษัท ซึ่งแต่ละประเทศอาจจะมีมาตรการที่ต่างกันไป เพื่อจัดการ pain point ของแต่ละประเทศ แต่จุดร่วมสำคัญ คือการเพิ่ม focus ในเรื่องของ shareholder value ทำยังไงให้บริษัทสนใจผลตอบแทนระยะยาวของผู้ถือหุ้นเป็นเรื่องใหญ่ ตัวอย่างเช่น บริษัทไหนที่มีทุนเกิน ฐานะทางการเงินดี แต่โอกาสในการหาผลกำไรต่ำกว่าผลตอบแทนที่ผู้ถือหุ้นคาดหวัง (cost of equity) ก็ควรจ่ายเงินปันผลออกมา หรือซื้อหุ้นคืน แทนที่จะไปลงทุนในโครงการที่ผลตอบแทนต่ำ หรือเก็บเงินสดไว้เฉยๆ และปรับปรุงเรื่อง corporate governance อย่างจริงจัง
นอกจากนี้ เราควรต้องส่งเสริมให้มีทางเลือกดีๆในการลงทุนให้มากขึ้น และพิจารณาเงื่อนไขในการจดทะเบียนบริษัท ต้องแน่ใจว่าบริษัทจดทะเบียนมีความพร้อมในการเปิดเผยข้อมูล และมีกลไกในการควบคุมเรื่อง corporate governance อย่างจริงจัง
3. เราควรต้องกลับมาสนใจเรื่องสภาพคล่องของตลาด ทบทวนมาตรการที่ทำให้สภาพคล่องหดหาย ปรับโครงสร้างตลาดให้เป็นสากล พิจารณาปรับลด tick size ขั้นต่ำลงมา เพื่อลดต้นทุนธุรกรรมของนักลงทุน และเพื่อให้มีการแข่งกัน bid-offer มากขึ้น แทนที่จะต้องเข้าคิวรอกันและไปเน้นกันที่ความเร็ว
เพราะตลาดหุ้นไทย ไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล วันนี้คำถามที่ได้ยินตลอด คือเขามีความจำเป็นต้องสนใจตามตลาดหุ้นไทยหรือไม่ ถ้าปัจจัยพื้นฐานไม่น่าสนใจ ปัญหา corporate governance เยอะขนาดนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมืองก็สูง แล้วสภาพคล่องยังแย่ลงไปเรื่อยๆอีก
ทุกวันนี้นักลงทุนมีทางเลือกมากขึ้น และเขาทยอยลดสัดส่วนหุ้นไทย ไปดูตลาดที่ใหญ่กว่า มีความน่าสนใจมากกว่า เราจำเป็นต้องเร่งเสริมจุดแข็ง แก้ไขจุดอ่อน และทำในสิ่งที่ยากและใช้เวลานาน แต่ถ้าไม่เริ่มตอนนี้เราคงกลายเป็นตลาดที่แห้งลงไปเรื่อยๆ ไม่สามารถเป็นความหวังให้กับบริษัทและนักลงทุนไทยได้