นายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง กล่าวว่า จากกรณีที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติคงดอกเบี้ยนโยบายนั้น
ในแง่หลักการที่ยังคงดอกเบี้ยจากปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อที่ติดลบ เป็นส่วนของเงินเฟ้อทั่วไปจากเรื่องราคาพลังงานที่ลดลง ซึ่งเป็นนโยบายช่วยเหลือจากรัฐบาล แต่เงินเฟ้อพื้นฐานยังคงเป็นบวก ดังนั้น หากในอนาคตมาตรการลดราคาพลังงานน้อยลง เงินเฟ้อก็จะกลับมาปรับตัวสูงขึ้น
นายสมชาย กล่าวว่า ปัจจัยที่สองคือเรื่องโครงการดิจิทัลวอลเล็ต วงเงิน 5 แสนล้านบาท ถ้ามีโครงการนี้ออกมาในอนาคตก็จะเป็นอีกแรงที่กดดัน กนง. ในการพิจารณานโยบายการเงิน ปัจจัยที่สาม คือดอกเบี้ยนโยบายของต่างประเทศ อาทิ ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ที่ยังส่งสัญญาณว่าเดือนมีนาคม 2567 ก็อาจจะยังไม่ลดดอกเบี้ยลง เพราะบทเรียนในอดีตที่เคยปรับลดแล้วลำบาก รวมทั้งเรื่องแรงกดดันด้านแรงงานยังสูง ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป หรืออีซีบี ก็มีคนออกมาบอกเช่นกันว่าถ้าจะลดดอกเบี้ยก็ควรดูให้แน่ใจก่อนว่าถ้าลดแล้วจะเกิดแรงกดดันเพิ่มหรือไม่ เพราะตอนนี้ยังมีปัญหาเรื่องภูมรัฐศาสตร์ที่ยังไม่แน่นอน
ขณะนี้จะเห็นว่า ตลาดสหรัฐมีเงินไหลออกมาส่วนหนึ่ง เพราะมีคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ย แม้เฟดจะออกมาเป็นมติว่ายังไม่ลดดอกเบี้ย แต่เงินก็ไหลออกไปแล้ว เพราะฉะนั้น จากกรณีนี้ ทางกนง. อาจจะคำนึงถึงว่าถ้าไทยลดดอกเบี้ยก็ควรดูให้แน่ใจก่อน ทั้งเรื่องเงินเฟ้อ และเรื่องเงินไหลออก ขณะเดียวกันต้องรอดูโครงการดิจิทัลให้มีความชัดเจนก่อน เพราะฉะนั้น คาดว่าการลดเบี้ยนโยบายของ กนง. เป็นไปได้เร็วที่ คือเดือนเมษายน 2567
ส่วนผลกระทบจากการคงดอกเบี้ยนโยบายของ กนง.นั้น มองว่ามีผลกระทบน้อย เพราะแม้ว่าดอกเบี้ยจะยังสูงอยู่ แต่การบริโภค กำลังซื้อไม่ได้ลดลง ปี 2566 ที่ผ่านมาปัจจัยเศรษฐกิจหลายตัวแย่ลง อาทิ ภาคการส่งออก แต่ส่วนที่ยังขยายตัว และกระตุ้นเศรษฐกิจได้คือ เรื่องของการบริโภคภาคเอกชนที่โตถึง 7% ซึ่งถือว่ายังเข้มแข็งอยู่ รวมถึงรัฐบาลก็มีมาตรกการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย ดังนั้น กนง.ก็อาจจะใช้ส่วนนี้เป็นปัจจัยที่ไม่ลดดอกเบี้ย และมองไม่เหมือนรัฐบาล
ขณะที่โครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่รัฐบาลยืนยันว่าจะเริ่มได้ภายในปี 2567 นี้ มองว่าโครงการดังกล่าวก็จะมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ โดยหลายสำนักวิเคราะห์มองโครงการในทางบวกว่าช่วยกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของไทยในปี 2567 ได้ที่ 0.5-1% ขณะที่เรื่องเงินเฟ้อ คิดว่าส่งผลไม่มาก คาดว่าที่ 0.2% เท่านั้น
ด้านหนี้สาธารณะ หลังจากมีโครงการดิจิทัลวอลเล็ตคาดว่าเพิ่มจาก 62% ไปอยู่ที่ 64-65% แม้จะยังดูไม่อันตราย หรือชนเพดาน แต่ก็ต้องระวังเรื่องการสะสมของหนี้อื่นๆ ที่อาจจะเข้ามาด้วยและกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งหากรัฐบาลจะเดินหน้าทำโครการดิจิทัลวอลเล็ตก็ต้องระวังสองเรื่องสำคัญ คือเรื่องการกระจุกตัวของหนี้สาธารณะเพิ่มมากไป มากกว่าเป็นหนี้ที่มาจากในโครงการดิจิทัลวอตเล็ตเอง กับการเร่งผลักดันมาตรการที่รัฐบาลกำลังทำ อาทิ มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว มาตรการกระตุ้นการลงทุน ซึ่งจากตัวเลขการลงทุน จากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ ล่าสุดก็ถือว่าทำได้ดี ดังนั้นถ้ารัฐบาลมีมาตรการมาช่วยส่งเสริมกัน ก็จะเป็นการป้องปรามปัญหาเรื่องเสถียรภาพได้อีกทาง