นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานอนุมัติงบกลาง 1.1 แสนล้านบาท จากกรอบวงเงินทั้งหมด 1.57 แสนล้านบาท จากนั้นเตรียมนำโครงการทั้งหมดเสนอ ครม.ในอังคารหน้า เพื่อทำไปใช้กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านหลายโครงการ เพื่อศักยภาพขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งระยะสั้น ระยะยาว ทุกหน่วยยงานต้องเร่งทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง ทำงบผูกดันให้เสร็จภายใน ก.ย.68 จากนั้นเริ่มใช้งบประมาณได้ต้นเดือน ต.ค.นี้
โดยนายกรัฐมนตรี กำชับในที่ประชุมให้เจ้าของโครงการ ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เจ้ากระทรวงกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด หากใช้เงินไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ให้ระงับโครงการ พร้อมตั้งอนุกรรมการติดตาม ประเมินผลการลงทุน เพื่อให้ทุกหน่วยงานลงทุนอย่างโปร่งใส สำหรับโครงการลงทุนที่อนุมัติ ได้คัดเลือกจากหลายหน่วยงาน ซึ่งได้ศึกษาจัดทำโครงการมานานแล้ว และพร้อมลงทุนทันที เงินลงทุนที่ใช้ต้องกระจายไปทุกอำเภอ และเน้นพัฒนาในจังหวัดที่มีรายได้ต่ำ ส่วนกรุงเทพฯ -ปริมณฑล จะได้รับงบสัดส่วนน้อย
ทั้งนี้ บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจจึงได้จัดสรรให้กับโครงการในการพัฒนาระบบน้ำ ทั้งระบบน้ำเพื่อการบริโภค โครงการป้องกันน้ำท่วม น้ำแล้ง พัฒนาระบบน้ำผ่านการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเกษตร ส่วนด้านคมนาคม เน้นในการปรับปรุงเส้นทางเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวเหมืองหลักและเมืองรอง เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยว การป้องกันปัญหาจุดตัดของถนน เส้นทางในชุมชนชำรุดมีปัญหาเพื่อความปลอดภัย โครงการทั้งระบบน้ำ และคมนาคม ได้รับจัดสรรร้อยละ 30 การท่องเที่ยวร้อยละ 10 ส่วนที่เหลือเป็นโครงการอื่น เช่น ลดผลกระทบจากนโยบายภาษีของ ”ทรัมป์“
คาดว่าจะก่อให้เกิดการจ้างงานไม่ต่ำกว่า 6-7 ล้านคน กระตุ้นเศรษฐกิจร้อยละ 0.4 ของจีดีพี รัฐบาลสานต่อโครงการผ่านงบปี 69-71 เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศในทุกด้าน ส่วนกรอบเงินที่เหลืออยู่ 40,000 ล้านบาท จะพิจารณาเพิ่มเติมภายหลัง ยอมรับงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 40,000 ล้านบาท มองว่าบางโครงการไม่ได้เสนอจากเจ้ากระทรวง และมีความซ้ำซ้อนจึงได้จัดออกไปก่อนซึ่งจะต้องมุ่งเน้นโครงสร้างพื้นฐาน ท่องเที่ยว เกษตร แรงงาน ชุมชน รวมวงเงินทั้งสิ้น 115,375 ล้านบาท