ตลาดซื้อขายน้ำมันดิบ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า วันที่ 6 พฤศจิกายน 2024 ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 71.69 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -0.30 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -0.42% ส่งผลหยุดราคาปิดขึ้น 5 วันติดกันรวม +4.78 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +6.80% ขณะที่เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ทำสถิติราคาดำดิ่งรายวันที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 2 ปี 3 เดือน หรือตั้งแต่ 12 กรกฎาคม 2022 เป็นต้นมา ซึ่งในวันดังกล่าวมีราคาดำดิ่งเหวมากถึง -7.93% ส่งผลมีราคาปิดต่ำสุดในรอบ 28 วัน หรือตั้งแต่ 1 ตุลาคมเป็นต้นมา
ด้านราคาน้ำมันดิบ เบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 74.92 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -0.61 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -0.81% ส่งผลหยุดราคาปิดขึ้น 5 วันติดกันรวม +4.78 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +6.55% ในสัปดาห์ผ่านไป ราคาน้ำมันดิบทั้ง 2 ตลาด ลดลง -3% และ -4% ตามลำดับ
สาเหตุจากนักลงทุนกังวลกับนโยบายพลังงาน และการค้าระหว่างประเทศของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 47 ซึ่งประกาศชัดเจนว่าจะเน้นการขุดเจาะแหล่งเชื้อเพลิงฟอสซิล หรือแหล่งน้ำมันดิบเพิ่มมากขึ้น นโยบายการขึ้นภาษีสูง 60% กับสินค้าจีน ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจจีน ทำให้การบริโภคน้ำมันดิบของจีนจะลดลง นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าอย่างรวดเร็ว และทำสถิติสูงสุดในรอบ 4 เดือน ทำสถิติแข็งค่าใน 1 วันที่มากที่สุดในรอบ 4 ปี 7 เดือน หรือตั้งแต่มีนาคมปี 2020 เป็นต้นมา
ขณะที่พายุโซนร้อนลูกใหม่ชื่อว่าราฟาเอลกำลังเคลื่อนที่เข้าสู่อ่าวเม็กซิโก ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อแหล่งผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐอเมริกา กลุ่มโอเปกพลัสส่งสัญญาณใหม่เกี่ยวกับการชะลอปรับขึ้นกำลังการผลิตของทั้งกลุ่มในเดือนธันวาคมนี้
ทั้งนี้ ผู้ค้าน้ำมันทุกรายในประเทศไทยปรับราคาขายน้ำมันมีผลวันที่ 7 พฤศจิกายนนี้ โดยขึ้นราคากลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ +40 สตางค์/ลิตร นับเป็นการขึ้นราคาน้ำมันครั้งที่ 2 ติดต่อกันในรอบ 3 วันผ่านมารวมขึ้น 70 สตางค์/ลิตร ส่งผลให้เป็นราคาน้ำมันที่สูงสุดในรอบเฉียด 1 เดือน หรือตั้งแต่ 12 ตุลาคมผ่านมา