นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ปัญจวัฒนาพลาสติก จำกัด (มหาชน) หรือ PJW เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2567 ได้มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock) ในวงเงินไม่เกิน 50 ล้านบาท จำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 20 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ซึ่งจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนคิดเป็นอัตราร้อยละ 3.2 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท เพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินของกลุ่มบริษัทให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนให้แก่ส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ซึ่งจะทําให้ราคาหุ้นในอนาคตสามารถสะท้อน มูลค่าที่แท้จริงของกลุ่มบริษัท รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นต่อสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯ ในอนาคต โดยบริษัทฯ จะเริ่มดำเนินการซื้อหุ้นคืนผ่านระบบซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2567 ถึง 13 มิถุนายน 2568
สำหรับ PJW มีสภาพคล่องที่แข็งแกร่งและเพียงพอที่จะนำมาใช้ในการซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้ โดยมีกำไรสะสมของบริษัท ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 เท่ากับ 639.18 ล้านบาท รวมถึงมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดลูกหนี้การค้า ลูกหนี้อื่น และสินค้าคงเหลือ จำนวน 584.23 ล้านบาท ขณะที่บริษัทฯ มีเจ้าหนี้การค้า และเจ้าหนี้อื่น รวมทั้งสิ้น 267.63 ล้านบาท โดยในเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน 2567บริษัทฯ ได้รับเงินปันผลจากบริษัทย่อย จำนวน 27.41 ล้านบาท
“การที่บอร์ดบริษัทฯ อนุมัติการซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้เนื่องจากระดับราคาหุ้นในปัจจุบันต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริงของบริษัทฯ ส่งผลทำให้คณะกรรมการ ตัดสินใจเข้าโครงการซื้อหุ้นคืน ซึ่งบริษัทฯ จะใช้แหล่งเงินทุนจากสภาพคล่องส่วนเกิน และจะไม่มีผลกระทบกับการเงินของบริษัทฯ”
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของธุรกิจ โดยในปี 2568 บริษัทฯ มีการวาง กลยุทธ์ทางธุรกิจขยายการลงทุนสู่กลุ่มธุรกิจใหม่ (New S-curve) ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่ 3 อย่างธุรกิจ Healthcare ภายใต้การให้บริการซักผ้าอุตสาหกรรม และ ให้บริการจำหน่ายกลุ่มวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ ซึ่งจะเข้ามาสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจในปี 2568 เติบโตแบบก้าวกระโดด ขณะที่ธุรกิจหลัก อย่างกลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์ และ กลุ่มธุรกิจงานชิ้นส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์ ในปีหน้ายังคงสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ PJW คาดการอัตราการเติบโตของรายได้รวมในปี 2568 เพิ่มขึ้น 15% ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าว ทำให้บริษัทฯ เชื่อมั่นว่ากลยุทธ์การสร้างโอกาสการเติบโตของ New S-curve ใหม่ๆ จะเสริมความมั่นคงให้กับฐานะทางการเงินของบริษัทแข็งแกร่งในอนาคต