นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า การลงทุนในไทยในปี 2568 เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยช่วง 9 เดือนแรก (ม.ค. – ก.ย. 2568) นักลงทุนไทยยังคงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยมีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบริษัทที่มีหุ้นไทยข้างมากจำนวน 840 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 447,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 99 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนขีดความสามารถด้านการลงทุนของภาคเอกชนไทย โดยเฉพาะในสาขาที่ไทยมีศักยภาพสูง 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มเกษตร-อาหาร-เทคโนโลยีชีวภาพ กลุ่มธุรกิจบริการทั้งในภาคท่องเที่ยว ขนส่งและโลจิสติกส์ และบริการทางการแพทย์ กลุ่มดิจิทัล กลุ่มสาธารณูปโภคสำหรับภาคอุตสาหกรรม กลุ่มชิ้นส่วนเครื่องจักรและชิ้นส่วนยานยนต์
โดยภายใต้ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุนใหม่ที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2566 บีโอไอพยายามผลักดันการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย ผ่านการให้สิทธิประโยชน์เพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนที่มีการใช้ทักษะแรงงานที่สูงขึ้นใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาเพิ่มประสิทธิภาพ และใช้นวัตกรรมในการขับเคลื่อนธุรกิจ รวมทั้งการจัดกิจกรรมเชื่อมโยงผู้ประกอบการไทย-ต่างชาติ เพื่อนำไปสู่การถ่ายทอดองค์ความรู้ การรับช่วงการผลิตชิ้นส่วนและการร่วมทุน มาตรการเหล่านี้ได้เริ่มส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนทิศทางการลงทุนของผู้ประกอบการไทย โดยในช่วงที่ผ่านมา มีการลงทุนในกิจการฐานความรู้และกิจการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
สำหรับในช่วง9 เดือนแรกของปี 2568 กลุ่มเกษตร อาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพ มีมูลค่าการลงทุนกว่า 31,000 ล้านบาท เป็นหนึ่งในสาขาหลักที่ผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพ และได้รับการส่งเสริมอย่างต่อเนื่องจากบีโอไอ มีทั้งโครงการแปรรูปสินค้าเกษตร การผลิตอาหารและเครื่องดื่มจากพืชผักผลไม้
นอกจากนี้ นโยบายส่งเสริมจะเน้นการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยยกระดับภาคเกษตรและอาหาร ดึงจุดแข็งด้านวัตถุดิบทางการเกษตรมาส่งเสริมการผลิตผลิตภัณฑ์ในกลุ่มชีวภาพที่มีความต้องการสูงในตลาด โดยมีการลงทุนสำคัญเช่น บจ. พรีเซิร์ฟ ฟู้ด สเปเชียลตี้ ผลิตอาหารและวัตถุดิบเพื่อรองรับตลาดอาหารสุขภาพและอาหารที่พัฒนาให้มีคุณสมบัติพิเศษเพื่อเสริมสุขภาพ ,บจ.เอ็กโซติค ฟู้ด ผู้ผลิตอาหารไทยพร้อมรับประทานและซอสปรุงรสส่งออกไปจำหน่ายในหลายประเทศทั่วโลก , บมจ.ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น ผู้ผลิตและส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงมูลค่าสูง ป็นต้น
ส่วนกลุ่มธุรกิจบริการทั้งในภาคท่องเที่ยว ขนส่งและโลจิสติกส์ และบริการทางการแพทย์ มีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 30,000 ล้านบาท สำหรับกิจการท่องเที่ยว มีการลงทุนกิจการโรงแรมหลายแห่ง
กลุ่มดิจิทัล มีมูลค่าการลงทุนกว่า 140,000 ล้านบาท เม็ดเงินลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในกิจการ Data Center ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและการพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงของประเทศ โดยมีโครงการสำคัญที่ลงทุนโดยผู้ประกอบการไทย
กลุ่มสาธารณูปโภคสำหรับภาคอุตสาหกรรม มีมูลค่าการลงทุนกว่า 93,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในกิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน
กลุ่มชิ้นส่วนเครื่องจักรและชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นอุตสาหกรรมสนับสนุนที่มีบทบาทสำคัญต่อซัพพลายเชนในภาคการผลิตของไทย มีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 3,400 ล้านบาท
ที่ผ่านมามีบริษัทไทยจำนวนมากที่ได้รับการส่งเสริมจนสามารถเติบโตจาก SMEs เป็นบริษัทขนาดใหญ่และออกไปสู่ตลาดโลก โดยในการขอรับการส่งเสริม บีโอไอกำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1 ล้านบาท และถ้าเป็น SMEs ที่มีหุ้นไทยข้างมาก ก็จะได้รับการผ่อนปรนเงื่อนไขเงินลงทุนขั้นต่ำเหลือเพียง 5 แสนบาทและยังอนุญาตให้ใช้เครื่องจักรใช้แล้วในประเทศได้บางส่วนเพื่อลดต้นทุน อีกทั้งยังจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมพิเศษ คือ วงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็น 2 เท่าของโครงการทั่วไปอีกด้วย เพื่อเป็นแต้มต่อให้กับ SMEs ไทยด้วย