นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ ชี้แจงว่า จากกรณีที่มีข่าวการอายัดบัญชีที่เกี่ยวข้องกับบัญชีม้านั้น บัญชีที่ได้รับผลกระทบจะเป็นบัญชีที่อยู่ในเส้นทางเงินที่รับโอนจากบัญชีม้าเท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมา ศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) และธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) ได้ยกระดับการจัดการบัญชีม้า โดยขยายขอบเขตการติดตามเส้นทางเงินให้กว้างขึ้น เพื่อกักเงินที่โยงกับบัญชีม้ามาคืนผู้เสียหายให้ได้มากที่สุด จึงทำให้การระงับบัญชีที่เกี่ยวข้องอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมากขึ้น
จากความกังวลที่เกิดขึ้น แบงก์ชาติได้หารือกับ ศอปท. และ ธนาคารพาณิชย์แล้ว และเห็นชอบร่วมกันเบื้องต้นว่าจะเร่งปรับแนวทางการอายัดบัญชีและกระบวนการปลดอายัด เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนสุจริต โดยจะมีการหารือร่วมกันวันนี้ (14 ก.ย. 68) และจะเริ่มดำเนินการได้ทันที สำหรับประชาชนสุจริตที่ได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมา ท่านสามารถติดต่อยกเลิกการระงับ โดยติดต่อไปยังศูนย์ AOC 1441 ต่อ 2 ได้
ด้านนางสาวอรมนต์ จันทพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายคุ้มครองและตรวจสอบบริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า กรณีบัญชีธนาคารของประชาชนที่บริสุทธิ์ได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมากตลอดทั้งวันที่ 13 กันยายนผ่านมานั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับมาตรการจัดการบัญชีม้าของ 4 หน่วยงาน ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารแห่งประเทศไทย ศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) และตำรวจ เพื่อป้องกันและยึดเงินคืนให้ผู้เสียหายจากการถูกหลอกลวง
ความเข้มข้นของมาตรการดังกล่าวอาจทำให้คนดี หรือประชาชนทั่วไป ที่เป็นผู้ใช้บัญชีปกติได้รับผลกระทบไปด้วย ซึ่งแบงก์ชาติกำลังเร่งปรับปรุงวิธีการใหม่ ซึ่งจะเริ่มมีผลในวันที่ 14 กันยายน คาดว่าจะลดผลกระทบต่อประชาชนทั่วไปได้อย่างชัดเจน สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบซึ่งถูกอายัดบัญชีโดยไม่เป็นธรรมนั้น แบงก์ชาติแจ้งไปยังธนาคารเพื่อให้เร่งตรวจสอบและแก้ไข หากยืนยันว่าเป็นผู้ใช้บัญชีปกติ ต้องดำเนินการปลดอายัดภายใน 2–3 วัน เพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อน
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2025 ผ่านมา กรณีแบงก์ชาติประกาศใช้มาตรการใหม่ เพื่อเป้าหมายป้องกันอาชญากรรมการเงิน แตั้โดยกำหนดเพดานการโอนเงินต่อวันสูงสุด 50,000 บาทกับลูกค้ารายใหม่ใช้โมบายแบงก์กิ้ง เริ่ม ส.ค. 68 นี้ และคลุมลูกค้าปัจจุบันภายในสิ้นปี 68 นั้น
นางอรมนต์ จันทพันธ์ ผู้อำนวยการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ชี้แจงว่ามาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายหลัก คือ (1) จำกัดไม่ให้มิจฉาชีพสามารถโอนเงินออกจากบัญชีได้ครั้งละจำนวนมาก เพื่อป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพถ่ายโอนเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดได้เร็ว ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสที่จะกักเงินของผู้เสียหายไว้ได้ทัน และ (2) จำกัดความเสียหายของประชาชนที่อาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของมิจฉาชีพ
ธนาคารจะพิจารณากำหนดวงเงินการโอนและชำระเงินต่อวันให้เหมาะสมกับความเสี่ยงและพฤติกรรมการทำธุรกรรมในอดีตของลูกค้า โดยวงเงินเริ่มต้นอยู่ที่ไม่เกิน 50,000 บาทต่อวัน หลักการกำหนดวงเงินที่เหมาะสมกับลูกค้า จะแบ่งการกำหนดวงเงินต่อวันไว้ที่ 3 ขนาด ดังนี้
* S วงเงินต่อวัน ไม่เกิน 50,000 บาท
* M วงเงินต่อวันไม่เกิน 200,000 บาท
* L วงเงินต่อวันเกิน 200,000 บาท
และจัดกลุ่มลูกค้าเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มเสี่ยงที่เป็นบัญชีต้องสงสัย ลูกค้าที่ใหม่ไม่เคยมีประวัติกับธนาคาร ไม่เคยยืนยันแหล่งที่มารายได้ จะถูกกำหนดวงเงินในกลุ่ม S คือวงเงินต่อวัน ไม่เกิน 50,000 บาท
กลุ่มต่อมาเป็นลูกค้าของธนาคารอยู่แล้ว และมีประวัติการใช้ผลิตภัณฑ์/บริการ หรือมีสินทรัพย์กับธนาคารก็จะอยู่ในกลุ่มลูกค้าทั่วไป – รู้จักดี สามารถกำหนดวงเงินได้ทั้ง 3 รูปแบบ ซึ่งในการเปลี่ยนแปลงวงเงินยังต้องสแกนใบหน้าเพื่อยืนยันตัวตนเช่นเดิม
ส่วนกลุ่มสุดท้ายเป็นลูกค้าเปราะบาง เช่น เด็กอายุน้อยกว่า 15 ปี และผู้สูงอายุ เช่นกลุ่มอายุ มากกว่า 65 ปี ต้องมีการดูแลเป็นพิเศษ เช่น มีการแจ้งเตือนหากพบว่าจะทำธุรกรรมที่สุ่มเสี่ยง แต่หากแจ้งเตือนแล้วยังยืนยันจะทำธุรกรรมที่เสี่ยงอยู่ดี ลูกค้าจะต้องรับผิดชอบความเสียหายนั้นเอง
ทั้งนี้ ธปท. ได้กำหนดให้ธนาคารต้องมีแนวทางลดผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ต่อลูกค้าด้วย เช่น มีกระบวนการรองรับกรณีลูกค้ามีความจำเป็นฉุกเฉินต้องโอนเงินหรือชำระเงินสูงกว่าวงเงินต่อวันที่โอนได้ โดยให้ธนาคารดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวกับกลุ่มลูกค้าใหม่ที่เพิ่งเปิดใช้บริการ mobile banking หรือ internet banking ภายในสิ้นเดือนสิงหาคม 2568 และกลุ่มลูกค้าปัจจุบันภายในสิ้นปี 2568