บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ประเมิน SET หุ้นไทย ปรับลดลง จากความกังวลสงครามการค้าสหรัฐกับประเทศคู่ค้ารุนแรงขึ้น ส่วนการเมืองในประเทศยังมีความไม่แน่นอน ภาวะที่ขาดปัจจัยหนุนใหม่ทำให้ตลาดฟื้นตัวได้ยากลำบาก ประเมินแนวรับที่ 1,150 – 1,140 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,170 – 1,175 จุด
ช่วงสั้นมอง SET มีสัญญาณฟื้นตัวบ้าง โดยคาดว่าจะมีแรงหนุนจากปัจจัยภายนอก เช่น สหรัฐฯ อาจเลื่อนเก็บภาษีนำเข้าบางรายการจากเม็กซิโกและแคนาดา ขณะที่ยังมีความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนหลังการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีน นอกจากนี้เงินเฟ้อจีนและสหรัฐฯ คาดยังไม่เปลี่ยนแนวโน้มซึ่งเป็นผลจากกำลังซื้อที่ชะลอตัวและราคาพลังงานที่ลดลง และน่าจะทำให้เฟดยังไม่เปลี่ยนแปลงทิศทางนโยบายการเงิน ส่วนปัจจัยในประเทศยังติดตามเสถียรภาพทางการเมือง การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของรัฐ การฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนใน เม.ย. และเงื่อนไขของการโอนย้ายเม็ดเงินกองทุน LTF เป็น ThaiESGX ซึ่งจะทำให้ตลาดมีแรงขายลดลง ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”
มอง SET มีสัญญาณฟื้นตัวได้บ้าง หนุนจากความคาดหวังจากปัจจัยภายนอกและรัฐบาลไทยมีแผนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม กลยุทธ์ลงทุนแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และ 1 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น ดังนี้
1.หุ้น Undervalued สำหรับลงทุน เลือกหุ้น SET100 ที่คาดเป็นเป้าหมายกองทุน โดย 1) กำไรปี 2568 คาดเติบโต YoY 2) ฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีความสามารถการจ่ายดอกเบี้ยสูง (Int. Cov. Ratio > 1) 3) Valuation ไม่แพง PER และ PBV 2568F ระดับต่ำกว่า -1SD 4) ศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ คาด Div. Yield อย่างน้อย 2% และ 5) SETESG Rating ระดับ A-AAA แนะนำ CPALL BDMS MTC MINT BTG
2.หุ้นปันผลคุณภาพดี โดย 1) สถิติจ่ายปันผลต่อเนื่องอย่างน้อย 20 ปี และ SETESG Rating ระดับ A-AAA 2) คาดจ่ายเงินปันผลจากกำไรปี 2567 หลังหักจ่ายระหว่างกาลแล้ว ยังให้ Div. Yield เกิน 4% และ Div. Payout Ratio มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือทรงตัว และ 3) ผลประกอบการปี 2568 ยังแข็งแกร่งและยังมี Upside เกิน 15% แนะนำ AP KTB BBL SPALI KBANK
3.หุ้น Earnings Play ซึ่งมองราคาหุ้นยังไม่ได้สะท้อนกำไร 1Q68 ที่คาดจะเติบโต YoY และ QoQ และมีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ เลือก ADVANC TRUE AMATA TIDLOR MTC AU HTC
4.Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ แนะนำเก็งกำไรสำหรับหุ้นที่คาดได้ Sentiment บวกจากงาน Opp. Day ซึ่งคาดจะมีโทนประชุมเป็นบวกในสัปดาห์นี้และเราดูแลอยู่อย่าง AU TIDLOR BTG PTG
โดยหุ้นที่น่าสนใจได้แก่ BBL: มองราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นจากคาดเป็นเป้าหมายกองทุน ThaiESGX เนื่องจากมี SETESG Rating ระดับ AAA และเป็นหุ้นเด่นของกลุ่มธนาคาร เนื่องจากมีงบดุลแข็งแกร่งที่สุด สินเชื่อเติบโตมากที่สุด ความเสี่ยงเกี่ยวกับคุณภาพสินทรัพย์ต่ำที่สุด และ Valuation ถูกที่สุดในกลุ่ม และจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 6.50 บาท (XD 23 เม.ย.) คิดเป็น Div. Yield 4.4% และ BDMS: มองเป็นหุ้นปลอดภัยภายใต้ตลาดที่ผันผวนสูงและราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นจากคาดเป็นหนึ่งในเป้าหมายกองทุน ThaiESGX เนื่องจากมี SETESG Rating ระดับ A ขณะที่กำไรยังมีโมเมนตัมเติบโตต่อเนื่อง โดยปี 2568 คาดกำไรจะเติบโต 8%YoY และ Valuation ไม่แพง โดยปัจจุบันซื้อขายที่ PER 68F ระดับ 22 เท่า ต่ำกว่า -2SD ของ PER เฉลี่ย 10 ปี
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
•IEA เตือนภาวะน้ำมันล้นตลาด คาดอุปทานน้ำมันทั่วโลกจะมากกว่าอุปสงค์ราว 6 แสนบาร์เรล/วันในปีนี้ พร้อมคาดอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.03 ล้านบาร์เรล/วัน ลดลงจากคาดการณ์ในเดือนที่แล้ว 70,000 บาร์เรล/วัน กดดันจากสงครามการค้า
•EU เรียกเก็บภาษีวิสกี้จากสหรัฐฯ ในอัตรา 50% เพื่อตอบโต้ภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมของสหรัฐฯ ทำให้ปธน. ทรัมป์ ขู่จะเรียกเก็บภาษีผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์และไวน์นำเข้าจาก EU สูงถึง 200%
•PPI สหรัฐฯ ก.พ. + 3.2%YoY และ Core PPI +3.4%YoY ต่ำกว่าตลาดคาดและชะลอตัวลงจาก ม.ค. ส่วนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์ก่อนลดลง 2,000 ราย สู่ 220,000 ราย ต่ำกว่าตลาดคาด
•ติดตามการพิจารณาร่างกฎหมายงบฯ ชั่วคราวเพื่อเลี่ยงการปิดหน่วยงานของรัฐบาลกลางในวุฒิสภาสหรัฐฯ ซึ่งจะต้องส่งให้ ปธน.ทรัมป์ลงนามบังคับใช้ภายในวันนี้เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะชัตดาวน์
•รัสเซียเห็นพ้องกับสหรัฐเกี่ยวกับข้อเสนอหยุดยิงระหว่างรัสเซียและยูเครน แต่การหยุดยิงจะต้องนำไปสู่สันติภาพที่ถาวร ทางด้าน ปธน. ทรัมป์กล่าวรัสเซียจะถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการค้าอย่างหนัก หากปฏิเสธที่จะยอมรับข้อตกลงหยุดยิงกับยูเครนเป็นเวลา 30 วัน
•ม. หอการค้าไทยประเมินนโยบายทรัมป์ 2.0 จะกระทบต่อ 4 สินค้าส่งออก เหล็ก, อลูมิเนียม, ยานยนต์ และอุปกรณส่วนประกอบ และกระทบต่อ GDP ราว 0.3% และคาดว่าจะเติบโตเหลือราว 2.8-3.2%
•ม. หอการค้าไทยเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ก.พ. ปรับลงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือนสู่ 57.8 จากความกังวลต่อสงครามการค้า และเศรษฐกิจไทยที่เติบโตช้า แม้ว่ามีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วยพยุง