นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ทำการวิเคราะห์ธุรกิจดาวเด่นประจำเดือนพฤษภาคม 2568 พบว่า ธุรกิจ Bio-Innovation มีความโดดเด่นและน่าสนใจอย่างมาก โดยเป็นการผสมผสานระหว่าง Biotechnology หรือเทคโนโลยีชีวภาพ และ Innovation หรือนวัตกรรม โดยใช้วิทยาศาสตร์ชีวภาพมาประยุกต์ให้เกิดเป็นนวัตกรรมหรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่จนกลายเป็นธุรกิจที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จและมีความสำคัญต่อการสร้างความเติบโตของธุรกิจไทย โดยเฉพาะด้านการแพทย์ เกษตร อาหาร และอุตสาหกรรม เช่น เส้นใยสังเคราะห์จากจุลินทรีย์ที่มีความแข็งแรงสูงเทียบเท่าไนลอน อาหารเลี้ยงสัตว์ที่มีโปรตีนสูงผลิตจากหนอนแมลงวันลาย การลดปริมาณน้ำตาลในอาหารและเครื่องดื่มที่มีผลไม้เป็นส่วนประกอบ พลาสติกที่ผลิตจากอ้อยและมันสำปะหลังย่อยสลายได้ เป็นต้น ในปี 2024 ทั่วโลกมีการแข่งขันในธุรกิจนี้สูงมากสร้างมูลค่าอุตสาหกรรมกว่า 1.55 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย 6 ประเทศที่เป็นหลักในอุตสาหกรรมนี้คือ สหรัฐอเมริกา จีน เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ เกาหลีใต้ และสหราชอาณาจักร ด้านประเทศไทยในปี 2024 มีมูลค่าอุตสาหกรรมประมาณ 0.7% ของโลก โดยระหว่างปี 2024-2030 จะมีสัดส่วนมูลค่าอุตสาหกรรมเติบโตอยู่ที่ 13.6% ต่อปี และคาดการณ์ว่าในปีอีก 5 ปีข้างหน้าหรือปี 2030 จะมีมูลค่าสูงถึง 8,284 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 268,573 ล้านบาท
สำหรับนิติบุคคลที่ดำเนินธุรกิจ Bio-Innovation ในประเทศไทย (ณ วันที่ 31 พ.ค.68) พบว่า มีนิติบุคคลจำนวน 389 ราย โดยจำนวนนิติบุคคลคงอยู่เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 จำนวน 45 ราย คิดเป็น 13.08% มูลค่าทุนจดทะเบียน 9,576 ล้านบาท ธุรกิจส่วนใหญ่จัดตั้งในขนาดเล็ก (S) มีจำนวน 358 ราย คิดเป็น 92.03% ขนาดกลาง (M) จำนวน 30 ราย คิดเป็น 7.71% และขนาดใหญ่ (L) จำนวน 1 ราย คิดเป็น 0.26% รวมถึงจัดตั้งในรูปแบบบริษัทจำกัดที่สุดจำนวน 382 ราย คิดเป็น 98.20% ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล/ห้างหุ้นส่วนจำกัด จำนวน 5 ราย คิดเป็น 1.29% และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 2 ราย คิดเป็น 0.51%
เมื่อวิเคราะห์สัดส่วนการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ Bio-Innovation ในเชิงลึกจะเห็นได้ชัดว่ารอบ 5 ปีที่ผ่านมา (2563-2567) มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยในปี 2567 มีการจัดตั้งสูงสุดกว่า 59 ราย เพิ่มขึ้นถึง 11.32% จากปี 2566 และ 5 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.-พ.ค.) มีการจัดตั้งใหม่จำนวน 30 ราย เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2567 จำนวน 11 ราย คิดเป็น 57.89% มูลค่าทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 178 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2567 จำนวน 149 ล้านบาท คิดเป็น 5.11 เท่า ปัจจัยที่เป็นส่วนสำคัญทำให้การจัดตั้งธุรกิจเพิ่มขึ้นมาจากธุรกิจสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้มากขึ้น โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่เป็นตัวแปรสำคัญของธุรกิจ รวมทั้งปัจจัยด้านการยอมรับเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในเชิงอุตสาหกรรมมากขึ้น ด้านการลงทุนของต่างชาติในธุรกิจ Bio-Innovation พบว่า มีมูลค่าการลงทุน 3,881 ล้านบาท สัญชาติที่เข้ามาลงทุนมากที่สุด 3 อันดับแรกคือ ฮ่องกง มูลค่า 1,074 ล้านบาท คิวบา มูลค่าการลงทุน 683 ล้านบาท และ ญี่ปุ่น มูลค่า 649 ล้านบาท
ส่วนผลประกอบการธุรกิจ Bio-Innovation สร้างรายได้สูงต่อเนื่อง ปี 2566 มีรายได้อยู่ที่ 6,079 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 707 ล้านบาท คิดเป็น 13.16% เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีรายได้ 5,372 ล้านบาท จากข้อมูลทางด้านการเงินที่น่าสนใจพบว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาสินทรัพย์รวมของธุรกิจเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปี 2566 มีสินทรัพย์รวมกว่า 12,585 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 123.27% จากปี 2562 ที่มีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 5,637 ล้านบาท สะท้อนถึงนักธุรกิจได้ให้ความสำคัญกับการลงทุนในธุรกิจนี้เพิ่มขึ้นเพื่อหวังผลการเติบโตในระยะยาว
โอกาสของธุรกิจ Bio-Innovation ในประเทศไทยถือว่ามีศักยภาพมากและยังรอการลงทุนจากนักธุรกิจทั้งไทยและต่างชาติ สำหรับปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนนักลงทุนไทยและมีความได้เปรียบทางการตลาดได้แก่ 1) ไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงเป็นแหล่งเพาะปลูกพืช สัตว์และพืชเศรษฐกิจของไทยอย่าง ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง และสมุนไพรที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในการนำไปใช้ในธุรกิจ 2) มีบุคลากรที่มีความพร้อมและโครงสร้างพื้นฐานในการวิจัยด้านเทคโนโลยีชีวภาพ 3) ตลาดโลกมีความต้องการด้านผลิตภัณฑ์ชีวภาพอย่างปุ๋ย อาหารเสริม เคมีภัณฑ์เพิ่มมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคมีความต้องการสินค้าในประเภทนี้อย่างมาก 4) ธุรกิจนี้ถือเป็นธุรกิจประเภท BCG ที่อยู่ในยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศของรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนและตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการเติบโต และ 5) ปัจจุบันภาคเอกชนให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยีชีวภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้สินค้า สร้างความหลากหลาย ลดต้นทุนการผลิต และเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก